May 10, 2024   8:08:24 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > กระซิบหน้าจอ
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 25/01/2007 @ 10:48:21
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

SET Index
วันพุธที่ 24 ม.ค. ปิดที่ 657.16 จุด +6.40 จุด มูลค่าการซื้อขาย 11,909 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิที่ 327.16 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิที่ 150.56 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิที่ 176.60 ล้านบาท SET Index ทำ High ที่ดัชนี 657.63จุด +6.87จุด และ Low ที่ดัชนี 653.08จุด +2.32 จุด SET Index วานนี้ยืนบวกได้ตลอดวันหลังได้ราคาน้ำมันดิบที่ดีดตัวขึ้นแรงกว่า 4% มาหนุน ส่งผลให้หุ้นกลุ่มพลังงานดันดัชนีให้เป็นบวก ตลอดจนหุ้นแบงค์ที่ราคาปรับลดลงจากเมื่อวันอังคารก่อนหน้าก็มีแรงซื้อกลับเข้ามาทำให้ราคารีบาวด์ขึ้นเช่นกัน กอปรกับเมื่อวันอังคารดัชนีปิดที่แนวรับระดับ 650 จุด จึงทำให้เช้าวันพุธ (วานนี้) เปิดดัชนีดีดตัว Reboundกลับขึ้นแต่ก็ยังไม่สามารถผ่านแนวต้านที่ 658 จุดไปได้ แถมด้วยทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศต่างก็ปรับขึ้นกันถ้วนหน้าส่งสัญญาณดีดีมาให้เห็นตั้งแต่เช้า ทั้งแรงซื้อนำในหุ้นบิ๊กแคปจากกลุ่มพลังงาน แบงค์ และอสังหาริมทรัพย์ บวกกับแรงซื้อกระจายในหุ้นเล็กรวมถึงหุ้น Warrant ที่มีเข้ามาช่วยเป็นสีสันให้ตลาดได้ไม่น้อย สถานการณ์วันนี้ SET อาจอ่อนแรงซื้อขายต้องระวังให้มากเนื่องจากยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ที่ชัดเจนเข้ามา

SAMART
ราคาเปิด 8.65 บาท ราคาปิด 8.80 บาท มูลค่าการซื้อขาย 42.362 ล้านบาท คาดการณ์รายได้ปี50อยู่ที่ 3.5หมื่นลบ. เติบโต21%จากปีก่อน จากการเน้นในส่วนของการเพิ่มมูลค่า เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และการขยายธุรกิจในต่างประเทศที่มีแนวโน้มในการเติบโตที่ดี โดยขณะนี้ SAMART อยู่ระหว่างการเข้าร่วมประมูลโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในประเทศกัมพูชา มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 220 เมกะวัตต์ แต่ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะได้ข้อสรุปเมื่อไหร่ แต่อย่างไรก็ตาม SAMARTจะเริ่มรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าขนาดเล็กในประเทศกัมพูชา ที่จะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายน และเริ่มรับรู้รายตั้งแต่ในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ ประมาณ 3-3.5 ล้านเหรียญ และที่น่าสนใจคือธุรกิจกล้องวงจรปิดหรือ CCTV ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 500 ล้านบาท เติบโตถึง 300% และเชื่อว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งได้รับผลดีจากปีก่อน เนื่องจากได้รับประโยชน์จากเหตุระเบิดในกรุงเทพฯ ทำให้มีการใช้กล้องวงจรปิดเพิ่มมากขึ้น K.KRAZIP แนะนำ ซื้อเก็งกำไร แนวรับ 8.60 บาท แนวต้าน 9 บาท

SCB
ราคาเปิด 59.50 บาท ราคาปิด 60 บาท มูลค่าการซื้อขาย 243.62 ล้านบาท ผลประกอบการกำไรสุทธิในปี 2549อยู่ที่ 13,286 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 29.6% YoY เนื่องจากการตั้งสำรองตามหลักเกณฑ์ IAS 39 เพิ่มขึ้น 5,100 ล้านบาท กำไรก่อนการตั้งสำรองและรายได้ที่ไม่อยู่ในรูปดอกเบี้ยยังเติบโตต่อเนื่อง 13.0% และ 21.9%ตามลำดับ สะท้อนการดำเนินงานที่ดีและการขยายตัวของ SCB ส่วนต่างNIMเติบโตดีเป็น 3.6% จาก 3.3% YoY จากนโยบายการทำธุรกิจเชิงรุกในปี 2549 สินเชื่อของในส่วนของธนาคารเพิ่มขึ้นเป็นเท่ากับ 694,933 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากถึง 15.1%yoy ซึ่งสูงที่สุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ สำหรับ NPLs ปรับตัวลดลงได้ดีเป็น 52,690ล้านบาท หรือเท่ากับ 7.54% ของสินเชื่อรวม จาก 8.87% ในQ 3/49 ได้ประมาณการกำไรสุทธิในปี 2550 จะเพิ่มขึ้น 35.4% YoY เป็น 17,616 ล้านบาท จากการตั้งสำรองที่ลดลง และรายได้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากจากนโยบายเชิงรุกในการทำธุรกิจของธนาคาร ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ ซื้อเก็งกำไร แนวรับ 59 บาท แนวต้าน 62 บาท

BANPU
ราคาเปิด 185 บาท ราคาปิด 182 บาท มูลค่าการซื้อขาย 100.89 ล้านบาท คาดว่ารายได้ปี 2550 จะมีอัตราการเติบโตประมาณ 10-12% YoY จะมีรายได้มากกว่า 30,000 ล้านบาท เนื่องจากราคาขายถ่านหินที่เพิ่มขึ้นและมีรายได้จากโรงไฟฟ้าในประเทศจีนเข้ามา ส่วนความคืบหน้าการดำเนินโครงการโรงผลิตไฟฟ้าถ่านหินโครงการ ?หงสาลิกไนต์? ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการศึกษาความเป็นไปได้ ซึ่งต้องพิจารณาถึงข้อมูลในเรื่องพื้นที่สิ่งแวดล้อม K.KRAZIP มองว่า หาก EGAT มาลงทุนในสัดส่วน 40% ใน ?หงสาลิกไนต์? ผ่าน RATCH จะสรุปภายใน 2 เดือนนี้ ซึ่งโครงการ ?หงสาลิกไนต์? เป็นโรงไฟฟ้าพลังถ่านหิน ขนาดกำลังการผลิต 1,800MW ในลาว และกำลังอยู่ในขั้นตอนการลงนามในสัญญา PPA กับ EGAT และคาดว่าจะเริ่มผลิตไฟฟ้าได้ในปลายปี 2012 มูลค่าการลงทุนในเบื้องต้นอยู่ที่เกือบ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลดีต่อ BANPU ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ ซื้อลงทุน แนวรับที่ราคา 182 บาท แนวต้านที่ราคา 186 บาท

HEMRAJ
ราคาเปิด-ปิดที่ 0.82 บาท มูลค่าการซื้อขาย 4.70 ล้านบาท จากการคาดการณ์ HEMRAJ จะมียอดขายที่ดินออกมาสูงกว่าที่คาดไว้ ซึ่งมียอดขายที่รอรับรู้ประมาณ 950 ล้านบาท เป็นยอดขายในปี 2549 จะเข้ามาบันทึกในปี 2550 ซึ่งมาจากการขายที่ดินจำนวน 324 ไร่ ที่ Eastern Industrial Estate ที่มาบตาพุด ในขณะนี้โครงการคอนโดมิเนียมเดอะ พาร์ค สร้างเสร็จใปแล้ว 65% ในส่วนของการขายทางบริษัทมียอดขายจำนวนทั้งสิ้น 182 ยูนิต จากทั้งหมด 219 ยูนิต และคาดว่าโครงการคอนโดฯ จะเสร็จสมบูรณ์ภายในไตรมาส 2/50 ส่วนเรื่องการแปลงสภาพวอร์แรนต์ จำนวน 2,118 ล้านหน่วย เป็นหุ้นสามัญซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 9,037 ล้านหุ้น คาดว่าจะส่งผลให้มี Dilution Effect ไม่มากนัก อย่างไรก็ตามราคาหุ้น ณ ปัจจุบันถือได้ว่ายังถูกอยู่ K.KRAZIP แนะนำ ทยอยซื้อ เนื่องจากบริษัทมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งจากการรับรู้รายได้ของคอนโดฯ โดยมีแนวรับ 0.81 บาท แนวต้าน 0.86 บาท

ที่มา ทันหุ้น[/color:491145b638">[/size:491145b638">
.0008 .0008

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com