Puu สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 476 | วันที่: 26/01/2007 @ 08:58:36 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต บล.นครหลวงไทยแนะนำซื้อ PDIราคาเป้าหมาย 45.00 บาทราคาโลหะสังกะสีปี 2549 ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากประมาณ US$2,000 ต่อตัน ในช่วงต้นปีมาทำสถิติสูงสุดที่ US$4,619 ต่อตันในช่วงปลายเดือนพ.ย. 2549 ทำให้ราคาเฉลี่ยปี 2549 อยู่ที่ US$3,253 ต่อตัน SCIBS คาดว่าราคาโลหะสังกะสีปี 2550 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดในปี 2549 อย่างไรก็ตามราคาเฉลี่ยในปี 2550คาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงที่ US$3,500 ต่อตัน เนื่องจากความต้องการใช้ส่วนเพิ่มที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 11.35 ล้านตัน ขณะที่อุปทานส่วนเพิ่มคาดว่าจะอยู่ที่ 11.12 ล้านตัน ส่งผลให้อุปทานโลหะสังกะสียังคงตึงตัวในปี 2550 SCIBS มีความเห็นสอดคล้องกับผู้บริหารโดยประเมินปริมาณขายทรงตัวอยู่ที่ 96,220 ตันในปี 2550 ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นส่งผลให้รายได้ในปี 2550 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 2549 เป็น 10,918 ล้านบาทPDI ทำสัญญาซื้อขายโลหะสังกะสีล่วงหน้าในปี 2550 จำนวน 19,950 ตัน ลดลงจากปี 2549 ที่ขายล่วงหน้าไป 30,000 ตัน ปัจจัยดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลบวกให้ PDI ได้รับประโยชน์จากราคาสังกะสีที่อยู่ในระดับสูงปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ US$3,731 ต่อตัน ในปริมาณที่มากกว่าในปี 2549 ขณะที่ราคาเฉลี่ยที่ทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในปี 2550 ปรับเพิ่มขึ้น 17% yoyเป็น US$1,661 ต่อตัน
บล.กิมเอ็งแนะนำซื้อ SCBราคาเป้าหมาย 69.00 บาทSCB รายงานผลประกอบการกำไรสุทธิในปี 49 สูงกว่าที่เราคาดเล็กน้อย 2.1% ออกมาเท่ากับ 13,286 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 29.6%yoy เมื่อเทียบกับปี 48 สาเหตุหลักเนื่องจากการตั้งสำรองตามหลักเกณฑ์ IAS 39 เพิ่มเติม 5,100 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม กำไรก่อนการตั้งสำรองและรายได้ที่ไม่อยู่ในรูปดอกเบี้ยยังเติบโตต่อเนื่อง 13.0% และ 21.9%ตามลำดับ สะท้อนการดำเนินงานที่ดีและการขยายตัวของ SCB ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยทั้งปี(NIM) เติบโตดีเป็น 3.6% จาก 3.3% ในปี 48 จากนโยบายการทำธุรกิจเชิงรุกในปี 49สินเชื่อของในส่วนของธนาคารเพิ่มขึ้นเป็นเท่ากับ 694,933 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากถึง 15.1%yoy สูงที่สุดในกลุ่มธนาคาร ซึงส่วนใหญ่เป็นการเติบโตของสินเชื่อ SMEs อย่างไรก็ตามอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) ปรับตัวลดลงเป็น 14.3% จาก 15.2%ในไตรมาส 3/49 ตามสินทรัพย์เสี่ยงที่เพิ่มขึ้นและ Tier 2 ที่ลดลง เราไม่ได้มีมุมมองที่เป็นลบ เนื่องจากฐานะการเงินยังอยู่ในเกณฑ์ที่แข็งแกร่งตาม BIS ยังอยู่ในระดับที่สูงและทัดเทียมกับธนาคารใหญ่อื่นๆ รวมถึงอัตราส่วนการตั้งสำรองต่อ NPLs เพิ่มขึ้นเป็น 90.9%จาก 74.8% ในไตรมาส 3/49 อยู่ในระดับสูงที่สุดในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ สำหรับ NPLsปรับตัวลดลงได้ดีเป็น 52,690ล้านบาท หรือเท่ากับ 7.54% ของสินเชื่อรวม จาก 8.87%ในไตรมาส 3/49 ธนาคารชี้แจงชัดเจนว่า การตั้งสำรองครั้งเดียวล่วงหน้าสำหรับหลักเกณฑ์ใหม่ IAS 39 ในไตรมาส 4/49 เรียบร้อยแล้ว และมีนโยบายการตั้งสำรองทั่วไปในปี 50 ไตรมาสละ 900 ล้านบาท เราประมาณการว่า ผลประกอบการกำไรสุทธิในปี 2550 จะเพิ่มขึ้น 35.4%yoy เป็น 17,616 ล้านบาท จากการตั้งสำรองที่ลดลง และรายได้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากจากนโยบายเชิงรุกในการทำธุรกิจของธนาคาร โดยเฉพาะเป้าสินเชื่อเติบโตสูง 1.65 แสนล้านบาทในปี 50 จากกำไรก่อนการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง,อัตราส่วนเงินกองทุนฯ ที่แม้จะปรับลดลงแต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี, ความชัดเจนในเรื่อง IAS 39ที่ SCB ได้ตั้งสำรองตามเกณฑ์แล้ว และ นโยบายการทำธุรกิจเชิงรุกต่อเนื่อง เราคงคำแนะนำ ซื้อลงทุน ใน SCB โดยมีราคาเป้าหมายของ SCB ที่เท่ากับ 69 บาท/ต่อหุ้น หรือเท่ากับ 2.0 เท่าของมูลค่าทางบัญชีในปี 2550
บล.ธนชาตแนะนำซื้อ WORKราคาเป้าหมาย 25.70 บาทWORK เป็นหุ้นที่ปลอดภัยในท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนตัวซึ่งเป็นผลมาจากความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง จากการที่ WORK ได้รับจัดสรรชั่วโมงในการออกอากาศเพิ่ม 14%ทำให้มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่ชัดเจน และเราประมาณการว่ามี CAGR 3 ปี อยู่ที่ 12% จากสถานะการเงินที่เข้มแข็งเนื่องจากความต้องการเงินลงทุนที่ต่ำ ทำให้ WORK ยังมีการจ่ายเงินปันผลดี ตั้งแต่ปีนี้ รายการของ WORK ที่ได้รับความนิยมสูง 2 รายการ ได้รับเวลาออกอากาศเพิ่ม 30 นาที/รายการ ขณะเดียวกันบริษัทฯ ก็ได้รับจัดสรรเวลาในช่วง prime-time 120 นาที เพื่อผลิต variety show ใหม่ทางช่อง 7 ซึ่งเป็นสถานีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศ ท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวเนื่องจากความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง แต่จากชั่วโมงที่ได้รับการจัดสรรใหม่ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโต 14% ของชั่วโมงออกอากาศในปีที่ผ่านมา เป็นปัจจัยที่ทำให้เราคาดว่า WORK จะมีการเติบโตของกำไรที่เด่นชัด เราประมาณการว่า EPSเติบโต 15% ในปีนี้ และ 14% ในปี 2008 WORK เป็นผู้คิดและสร้างรายการต่างๆ ด้วยตนเองทั้งหมด ดังนั้นบริษัทฯ จึงสามารถเพิ่มการใช้ประโยชน์จากรายการต่างๆ ด้วยการทำ eventmarketing เนื่องจาก รายการส่วนใหญ่ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ชม ทำให้รายการของ WORK เป็นรายการที่มี demand สูง และevents ต่างๆ ก็ประสบความสำเร็จตลอดมา เราจึงมีมุมมองบวกต่อแนวการดำเนินธุรกิจนี้ของบริษัทฯ เพราะจะทำให้แหล่งที่มาของรายได้ของ WORK มากขึ้น ขณะที่ไม่มีต้นทุนเพิ่มบริษัทฯ คาดหวังว่าการทำ event marketing จะทำให้มีรายได้เพิ่มอีก 5% จากรายได้ของปีนี้ขณะเดียวกันก็จะทำให้กำไรเพิ่มขึ้น เนื่องจาก ได้รับผลประโยชน์จากoperationalleverage ที่ดีขึ้น
บล.เคจีไอแนะนำซื้อ SCCราคาเป้าหมาย 303.00 บาทSCC รายงานผลประกอบการไตรมาส 4/2549 ที่ 4.7 พันล้านบาท ลดลง 8.4% จากปีก่อน และลดลงไตรมาสก่อน 38.5% เนื่องจากผลประกอบการธุรกิจปิโตรเคมีที่ลดลง (จากการปรับต้นทุนสินค้าคงเหลือ และผลประกอบการที่ไม่ดีของธุรกิจ PTA) ขณะที่ในแง่ภาพรวมปี 2549 ผลประกอบการโดยรวม ถูกผลักดันโดยธุรกิจปิโตรเคมีเป็นหลัก ขณะที่ธุรกิจอื่นยังคงทรงตัว ธุรกิจปิโตรเคมี ผลประกอบการไตรมาส 4/2549 ยอดขายเพิ่มขึ้น 64.3% จากปีก่อน และลดลง 8.1% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากราคาปิโตรเคมีที่อ่อนตัวเล็กน้อยในไตรมาสนี้ ทำให้มีการบันทึกการปรับต้นทุนสินค้าคงเหลือปิโตรเคมี ตามราคาตลาดที่ต่ำและมีผลประกอบการที่ไม่ดีของ ธุรกิจ PTA ตามราคา paraxylene ที่อ่อนตัว ธุรกิจซีเมนต์ ผลประกอบการไตรมาส 4/2549 ยอดขายเพิ่มขึ้น 0.9% จากปีก่อน และลดลง 7.8% จากไตรมาสก่อน จากความต้องการซีเมนต์ในประเทศที่ลดลงหลังน้ำท่วม และปริมาณการส่งออกที่ต่ำลงจากเศรษฐกิจในสหรัฐฯที่ไม่ดี ขณะที่มีต้นทุนพลังงานเพิ่มสูงขึ้นจากราคาถ่านหินที่สูง ธุรกิจกระดาษ ผลประกอบการไตรมาส 4/2549 ยอดขายเพิ่มขึ้น 3.1 % จากปีก่อน และลดลง 1.5% จากไตรมาสก่อน จาก Seasonal effect เรามองว่าปี 2550ภาพรวมของ SCC ยังคงดีอยู่ จากธุรกิจปิโตรเคมี แม้ว่าธุรกิจ PTA จะมีขาดทุนขึ้นในปีนี้แต่เรามองว่าธุรกิจนี้คิดเป็น 10% ของธุรกิจปิโตรเคมีทั้งหมด ขณะที่ Spreadของปิโตรเคมียังคงดีอยู่ในขณะนี้ และดีกว่าที่ตลาดได้คาดการณ์ไว้ ทำให้มองว่าจะสนับสนุนกำไรในธุรกิจนี้ได้ ขณะที่ธุรกิจซีเมนต์ แม้ว่าจะมีความกดดันด้านต้นทุน จากราคาถ่านหินที่คงตัวระดับสูง แต่เราคาดว่าในแง่ปริมาณการขาย จะยังคงเพิ่มได้ต่อเนื่องจากการขยายการส่งออกไปยังแถบเอเชีย ซึ่งบล.นครหลวงไทยแนะนำซื้อ PDIราคาเป้าหมาย 45.00 บาทราคาโลหะสังกะสีปี 2549 ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากประมาณ US$2,000 ต่อตัน ในช่วงต้นปีมาทำสถิติสูงสุดที่ US$4,619 ต่อตันในช่วงปลายเดือนพ.ย. 2549 ทำให้ราคาเฉลี่ยปี 2549 อยู่ที่ US$3,253 ต่อตัน SCIBS คาดว่าราคาโลหะสังกะสีปี 2550 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดในปี 2549 อย่างไรก็ตามราคาเฉลี่ยในปี 2550คาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงที่ US$3,500 ต่อตัน เนื่องจากความต้องการใช้ส่วนเพิ่มที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 11.35 ล้านตัน ขณะที่อุปทานส่วนเพิ่มคาดว่าจะอยู่ที่ 11.12 ล้านตัน ส่งผลให้อุปทานโลหะสังกะสียังคงตึงตัวในปี 2550 SCIBS มีความเห็นสอดคล้องกับผู้บริหารโดยประเมินปริมาณขายทรงตัวอยู่ที่ 96,220 ตันในปี 2550 ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นส่งผลให้รายได้ในปี 2550 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 2549 เป็น 10,918 ล้านบาทPDI ทำสัญญาซื้อขายโลหะสังกะสีล่วงหน้าในปี 2550 จำนวน 19,950 ตัน ลดลงจากปี 2549 ที่ขายล่วงหน้าไป 30,000 ตัน ปัจจัยดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลบวกให้ PDI ได้รับประโยชน์จากราคาสังกะสีที่อยู่ในระดับสูงปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ US$3,731 ต่อตัน ในปริมาณที่มากกว่าในปี 2549 ขณะที่ราคาเฉลี่ยที่ทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในปี 2550 ปรับเพิ่มขึ้น 17% yoyเป็น US$1,661 ต่อตัน
บล.กิมเอ็งแนะนำซื้อ SCBราคาเป้าหมาย 69.00 บาทSCB รายงานผลประกอบการกำไรสุทธิในปี 49 สูงกว่าที่เราคาดเล็กน้อย 2.1% ออกมาเท่ากับ 13,286 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 29.6%yoy เมื่อเทียบกับปี 48 สาเหตุหลักเนื่องจากการตั้งสำรองตามหลักเกณฑ์ IAS 39 เพิ่มเติม 5,100 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม กำไรก่อนการตั้งสำรองและรายได้ที่ไม่อยู่ในรูปดอกเบี้ยยังเติบโตต่อเนื่อง 13.0% และ 21.9%ตามลำดับ สะท้อนการดำเนินงานที่ดีและการขยายตัวของ SCB ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยทั้งปี(NIM) เติบโตดีเป็น 3.6% จาก 3.3% ในปี 48 จากนโยบายการทำธุรกิจเชิงรุกในปี 49สินเชื่อของในส่วนของธนาคารเพิ่มขึ้นเป็นเท่ากับ 694,933 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากถึง 15.1%yoy สูงที่สุดในกลุ่มธนาคาร ซึงส่วนใหญ่เป็นการเติบโตของสินเชื่อ SMEs อย่างไรก็ตามอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) ปรับตัวลดลงเป็น 14.3% จาก 15.2%ในไตรมาส 3/49 ตามสินทรัพย์เสี่ยงที่เพิ่มขึ้นและ Tier 2 ที่ลดลง เราไม่ได้มีมุมมองที่เป็นลบ เนื่องจากฐานะการเงินยังอยู่ในเกณฑ์ที่แข็งแกร่งตาม BIS ยังอยู่ในระดับที่สูงและทัดเทียมกับธนาคารใหญ่อื่นๆ รวมถึงอัตราส่วนการตั้งสำรองต่อ NPLs เพิ่มขึ้นเป็น 90.9%จาก 74.8% ในไตรมาส 3/49 อยู่ในระดับสูงที่สุดในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ สำหรับ NPLsปรับตัวลดลงได้ดีเป็น 52,690ล้านบาท หรือเท่ากับ 7.54% ของสินเชื่อรวม จาก 8.87%ในไตรมาส 3/49 ธนาคารชี้แจงชัดเจนว่า การตั้งสำรองครั้งเดียวล่วงหน้าสำหรับหลักเกณฑ์ใหม่ IAS 39 ในไตรมาส 4/49 เรียบร้อยแล้ว และมีนโยบายการตั้งสำรองทั่วไปในปี 50 ไตรมาสละ 900 ล้านบาท เราประมาณการว่า ผลประกอบการกำไรสุทธิในปี 2550 จะเพิ่มขึ้น 35.4%yoy เป็น 17,616 ล้านบาท จากการตั้งสำรองที่ลดลง และรายได้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากจากนโยบายเชิงรุกในการทำธุรกิจของธนาคาร โดยเฉพาะเป้าสินเชื่อเติบโตสูง 1.65 แสนล้านบาทในปี 50 จากกำไรก่อนการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง,อัตราส่วนเงินกองทุนฯ ที่แม้จะปรับลดลงแต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี, ความชัดเจนในเรื่อง IAS 39ที่ SCB ได้ตั้งสำรองตามเกณฑ์แล้ว และ นโยบายการทำธุรกิจเชิงรุกต่อเนื่อง เราคงคำแนะนำ ซื้อลงทุน ใน SCB โดยมีราคาเป้าหมายของ SCB ที่เท่ากับ 69 บาท/ต่อหุ้น หรือเท่ากับ 2.0 เท่าของมูลค่าทางบัญชีในปี 2550
บล.ธนชาตแนะนำซื้อ WORKราคาเป้าหมาย 25.70 บาทWORK เป็นหุ้นที่ปลอดภัยในท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนตัวซึ่งเป็นผลมาจากความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง จากการที่ WORK ได้รับจัดสรรชั่วโมงในการออกอากาศเพิ่ม 14%ทำให้มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่ชัดเจน และเราประมาณการว่ามี CAGR 3 ปี อยู่ที่ 12% จากสถานะการเงินที่เข้มแข็งเนื่องจากความต้องการเงินลงทุนที่ต่ำ ทำให้ WORK ยังมีการจ่ายเงินปันผลดี ตั้งแต่ปีนี้ รายการของ WORK ที่ได้รับความนิยมสูง 2 รายการ ได้รับเวลาออกอากาศเพิ่ม 30 นาที/รายการ ขณะเดียวกันบริษัทฯ ก็ได้รับจัดสรรเวลาในช่วง prime-time 120 นาที เพื่อผลิต variety show ใหม่ทางช่อง 7 ซึ่งเป็นสถานีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศ ท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวเนื่องจากความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง แต่จากชั่วโมงที่ได้รับการจัดสรรใหม่ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโต 14% ของชั่วโมงออกอากาศในปีที่ผ่านมา เป็นปัจจัยที่ทำให้เราคาดว่า WORK จะมีการเติบโตของกำไรที่เด่นชัด เราประมาณการว่า EPSเติบโต 15% ในปีนี้ และ 14% ในปี 2008 WORK เป็นผู้คิดและสร้างรายการต่างๆ ด้วยตนเองทั้งหมด ดังนั้นบริษัทฯ จึงสามารถเพิ่มการใช้ประโยชน์จากรายการต่างๆ ด้วยการทำ eventmarketing เนื่องจาก รายการส่วนใหญ่ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ชม ทำให้รายการของ WORK เป็นรายการที่มี demand สูง และevents ต่างๆ ก็ประสบความสำเร็จตลอดมา เราจึงมีมุมมองบวกต่อแนวการดำเนินธุรกิจนี้ของบริษัทฯ เพราะจะทำให้แหล่งที่มาของรายได้ของ WORK มากขึ้น ขณะที่ไม่มีต้นทุนเพิ่มบริษัทฯ คาดหวังว่าการทำ event marketing จะทำให้มีรายได้เพิ่มอีก 5% จากรายได้ของปีนี้ขณะเดียวกันก็จะทำให้กำไรเพิ่มขึ้น เนื่องจาก ได้รับผลประโยชน์จากoperationalleverage ที่ดีขึ้น
บล.เคจีไอแนะนำซื้อ SCCราคาเป้าหมาย 303.00 บาทSCC รายงานผลประกอบการไตรมาส 4/2549 ที่ 4.7 พันล้านบาท ลดลง 8.4% จากปีก่อน และลดลงไตรมาสก่อน 38.5% เนื่องจากผลประกอบการธุรกิจปิโตรเคมีที่ลดลง (จากการปรับต้นทุนสินค้าคงเหลือ และผลประกอบการที่ไม่ดีของธุรกิจ PTA) ขณะที่ในแง่ภาพรวมปี 2549 ผลประกอบการโดยรวม ถูกผลักดันโดยธุรกิจปิโตรเคมีเป็นหลัก ขณะที่ธุรกิจอื่นยังคงทรงตัว ธุรกิจปิโตรเคมี ผลประกอบการไตรมาส 4/2549 ยอดขายเพิ่มขึ้น 64.3% จากปีก่อน และลดลง 8.1% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากราคาปิโตรเคมีที่อ่อนตัวเล็กน้อยในไตรมาสนี้ ทำให้มีการบันทึกการปรับต้นทุนสินค้าคงเหลือปิโตรเคมี ตามราคาตลาดที่ต่ำและมีผลประกอบการที่ไม่ดีของ ธุรกิจ PTA ตามราคา paraxylene ที่อ่อนตัว ธุรกิจซีเมนต์ ผลประกอบการไตรมาส 4/2549 ยอดขายเพิ่มขึ้น 0.9% จากปีก่อน และลดลง 7.8% จากไตรมาสก่อน จากความต้องการซีเมนต์ในประเทศที่ลดลงหลังน้ำท่วม และปริมาณการส่งออกที่ต่ำลงจากเศรษฐกิจในสหรัฐฯที่ไม่ดี ขณะที่มีต้นทุนพลังงานเพิ่มสูงขึ้นจากราคาถ่านหินที่สูง ธุรกิจกระดาษ ผลประกอบการไตรมาส 4/2549 ยอดขายเพิ่มขึ้น 3.1 % จากปีก่อน และลดลง 1.5% จากไตรมาสก่อน จาก Seasonal effect เรามองว่าปี 2550ภาพรวมของ SCC ยังคงดีอยู่ จากธุรกิจปิโตรเคมี แม้ว่าธุรกิจ PTA จะมีขาดทุนขึ้นในปีนี้แต่เรามองว่าธุรกิจนี้คิดเป็น 10% ของธุรกิจปิโตรเคมีทั้งหมด ขณะที่ Spreadของปิโตรเคมียังคงดีอยู่ในขณะนี้ และดีกว่าที่ตลาดได้คาดการณ์ไว้ ทำให้มองว่าจะสนับสนุนกำไรในธุรกิจนี้ได้ ขณะที่ธุรกิจซีเมนต์ แม้ว่าจะมีความกดดันด้านต้นทุน จากราคาถ่านหินที่คงตัวระดับสูง แต่เราคาดว่าในแง่ปริมาณการขาย จะยังคงเพิ่มได้ต่อเนื่องจากการขยายการส่งออกไปยังแถบเอเชีย ซึ่งจะช่วนสนับสนุนธุรกิจนี้ได้ต่อไป
[/color:05ef980d3d">[/size:05ef980d3d">
|