May 10, 2024   11:21:57 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > จับตาสงครามค่าเงินบาดภาค 2 ?
 

samjin
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 352
วันที่: 26/01/2007 @ 21:12:26
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

การลงทุนในตลาดหุ้นไทยระยะสั้นแนวโน้มดัชนียังคงกวักมือเชียร์แขกให้ขึ้นมาเล่นที่สูงร่วมกับกองทุนต่างประเทศและมาร์เก็ตเมคเกอร์เพียงแต่เสียงเรียกรู้สึกเบาขึ้นเพราะปริมาณการซื้อขายที่อยู่ในระดับ
10,000 ล้านบาทต้น ๆนั้นนักลงทุนที่มีประสบการณ์เขาพอจะอ่านเกมออกว่าเจ้าภาพกำลังคิดอะไรอยู่

เพราะชาวบ้านถูกเชือดจนไม่มีที่ว่างพอสำหรับรอยมีดเล่มต่อไปดังนั้นแม้ว่าระยะสั้นตลาดยังมีศักยภาพของการฟื้นตัวขึ้นด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตามแต่กรอบการเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 650 -680 จุดและเป็นการขึ้นเพื่อรอปรับตัวครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งโดยมีเงินปันผลเป็นตัวล่อเพื่อจะเรียกน้ำลายจากนักเสี่ยงภัยรายวัน

ข้อสังเกตทางเทคนิคสำหรับดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ระยะสั้นการขึ้นทดสอบแนวต้านบริเวณ
660 จุดเป็นครั้งที่ 3 ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ต่ำกว่าระดับ 10,000 ล้านบาทนั้น ในทางเทคนิคถือว่า ?เจ้าภาพ?
ไม่มีเงินจริงเพราะโยนแต่เศษสตางค์เข้ามาให้รายย่อยไล่เก็บชนิด ?วิ่งตัดหน้ารถบรรทุกหยิบเหรียญบาด(ท)?
และเมื่อเวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่งปรากฏภาพชัดเจนคือการถดถอยของราคาหุ้นและติดหุ้นในที่สุด

ดังนั้นภาพลวงตาของดัชนีรายสัปดาห์ที่ดูเหมือนว่าจะเริ่มนิ่ง และมีแนวโน้มจะเกิดสัญญาณซื้อนั้นมีโอกาสแปลงสัญญาณเป็นสัญญาณ ?สมหวัง(แห้ว)? ได้อาจจะชั่วระยะเวลาเพียงข้ามวันเท่านั้นเพราะค่าของสัญญาณในภาพรายสัปดาห์นั้นยังต่ำกว่า Zero Line และชี้นำโดยหุ้นกลุ่ม Market Cap ที่อยู่ในมือของสถาบันเป็นส่วนใหญ่ทำหน้าที่ชี้นำตลาดในขณะนี้

สิ่งที่นักลงทุนต้องจับตาอย่างชนิดที่กระพริบไม่ได้อีกครั้งคือสงครามค่าเงินบาด(ท) ภาคสอง ระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยกับนักเก็งกำไรข้ามชาติ เพราะฝ่ายหนึ่งกำลังทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งกำลังทำให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น และหากนักลงทุนติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในช่วง 1- 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาจะปรากฏว่าค่าเงินบาทมีการสวิงค่อนข้างแรงมากโดยเฉพาะในสัปดาห์นี้ เพราะบางวันค่าเงินบาทมีการเหวี่ยงตัวประมาณ 1.83 บาทต่อวัน โดยเฉพาะวานนี้ค่าเงินบาทอ่อนตัวสุด 35.93 และแข็งค่าสุด 34.10 บาทต่อเหรียญสหรัฐ

ส่วนค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินปอนด์อังกฤษจะเคลื่อนไหวในช่วง 70.71 - 60.054 บาทต่อปอนด์ ขณะที่ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินเยนญี่ปุ่นเคลื่อนไหวระหว่าง 29.843 ? 28.282 บาทต่อ 100 เยน ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัว แต่ในทางกลับกันธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศลดดอกเบี้ยลงไปซึ่งน่าจะส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวเช่นกัน ดังนั้นการต่อสู้กันของค่าเงินบาทในช่วงนี้ยังเป็นตัวแปรที่ควรให้ความสำคัญอย่างยิ่ง

ถามว่าเมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งสมมุติฐานว่าค่าเงินบาทควรจะอ่อนตัวและได้ใช้ยาแรงกับนักเก็งกำไรค่าเงินบาท และกล่าวว่าเป็นฝ่ายได้ชัยชนะในการต่อสู้ เพราะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงได้ แต่การที่ค่าเงินบาทมาทำจุดต่ำใหม่ที่ระดับ 34 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จากเดิมที่เงินบาทแข็งค่าที่สุดที่ระดับ 35.06 บาทต่อเหรียญสหรัฐย่อมสะท้อนว่า สิ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกล่าวอ้างนั้น ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดแล้ว เพราะนอกจากค่าเงินบาทจะแข็งกว่าคาดแล้ว แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยยังต้องเดินถอยหลังหลายก้าว ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะเป็น ?ฝีมือระดับนักเรียนนอก(ญี่ปุ่น)มืออาชีพ? ที่สาธารณะชนเชื่อว่า ?ไม่ควรจะมีคำว่าประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติงานอย่างมืออาชีพโดยเฉพาะหน้าที่สำคัญอย่างธนาคารชาติ? แต่ค่าเงินบาทที่แตะระดับ 34 บาทต่อเหรียญสหรัฐนั้นเรายังไม่ทราบเหมือนกันว่าทางธนาคารแห่งประเทศไทยจะอธิบายเหตุผลดังกล่าวว่าอย่างไร? จึงจะเป็นเหตุผลที่ดูดีและทำให้ประชาชนเชื่อว่าสิ่งที่ท่านได้ดำเนินการมานั้นถูกต้องเหมือนเดิมแต่สิ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยพยายามคือปิดปากสำนักข่าวไม่ให้ชี้นำในเรื่องค่าเงินบาท ว่าเป็นการซื้อขาย Onshore /Offshore แต่ในฐานะที่ปัจจัยเหล่านี้มีผลกระทบโดยตรงต่อการลงทุนในตลาดหุ้นธนาคารแห่งประเทศไทยควรพูดความจริง ไม่ใช่ซุกปัญหาที่แท้จริงไว้ใต้พรมและทำให้ประชาชนเข้าใจไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้อง

ค่าเงินบาดที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นและดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากแรงซื้อของต่างชาตินั้นมองว่าสนามประลองค่าเงินนี้สมรภูมิหลักยังเป็นตลาดหุ้นเนื่องจากผลกระทบที่รุนแรงจากการประลองครั้งก่อน

ดังนั้นนักลงทุนต้องจับตาให้ดีว่า หากจัดการกับค่าเงินบาทไม่อยู่มาตรการอะไรที่จะถูกใช้เป็นอาวุธทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ระหว่างลดดอกเบี้ยออกมาตรการควบคุมเงินทุน ปรับนโยบายเกี่ยวกับค่าเงินบาท ดังนั้นหุ้นที่เป็น TOP Pick ของต่างชาติคาดว่ายังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิดหากการต่อสู้เรื่องค่าเงินบาทระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยกับนักเก็งกำไรค่าเงินยังคงดำเนินต่อไป

ดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ปิดตลาดที่ระดับ 660.71 เพิ่มขึ้น 3.55 จุดมูลค่าการซื้อขาย 10,772 ล้านบาทภาพที่เกิดขึ้นให้คำตอบว่า?ทิศทางตลาดระยะสั้นอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ? การขึ้นต่อก็เพื่อขายหุ้นในราคาที่ดีกว่าเดิม และยังคงเน้นการเก็งกำไรระยะสั้นๆ เท่านั้น เพราะความเสี่ยงด้านนโยบาย ?มิคกี้เม้าส์โพลีซี? กำลังเริ่มก่อตัว

สำหรับหลักทรัพย์ที่น่าติดตามสำหรับการเก็งกำไรระยะสั้นและควรจะมีการหยุดการขาดทุนหากไม่เป็นไปตามคาดหรือหากดัชนีต่ำกว่า 650 เช่น NWR SYNTEC ITD CK PTTEP PTT SCIB DE ส่วนหุ้นที่ยังเป็น Landslide หาก้นไม่เจอที่ต้องระมัดระวังแรงขายจากกลุ่มเจ้าหนี้คือ EVER ส่วน TMB

ยังคงเป็นธนาคารที่มีปัญหาต่อไปลงทุนแล้วตัวเล็กลงทุกวัน เพราะอยู่ ๆ ก็เพิ่มทุน เผลอ ๆ ก็
ขาดทุนยังนี้บอกให้ไปขายก๋วยเตี๋ยวชายสี่บะหมี่เกี๊ยวดีกว่าใช้ทุนไม่มากเท่าทำธุรกิจธนาคารพาณิชย์

แถมชาวบ้านไม่เดือดร้อนด้วยจริงมั้ยท่านผู้บริหารธนาคารก็ไหนท่านสมหมายที่เคยเป็นอดีตประธานของ IFCT ช่วงก่อน Merged กับ IFCT DBS พูดในการประชุมผู้ถือหุ้นที่ตึก IFCT ว่าดีนักดีหนาไงครับท่าน

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com