May 14, 2024   10:00:14 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > วิเคราะห์สัปดาห์ : ไปได้ไม่ไกล
 

samjin
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 352
วันที่: 29/01/2007 @ 08:54:05
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ดูเหมือนนักลงทุนกลุ่มสถาบันในประเทศ และนักลงทุนรายย่อยจะกลายเป็นผู้เทขายหุ้นสุทธิตลอดทั้งสัปดาห์ หลังมองว่าดัชนีอาจปรับตัวขึ้นไปได้ไม่ไกล ซึ่งเป็นผลมาจากบรรยากาศของตลาดหุ้นไม่เอื้อให้นักลงทุนถือหุ้นระยะยาว

ด้วยเหตุนี้ถึงทำให้การลงทุนตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมายังเป็นลักษณะเก็งกำไรสั้นๆ โดยนักลงทุนมองแก๊ปราคาหุ้นเคลื่อนไหวแค่ 2-3 ช่อง ก็เทขายหุ้นทำกำไรออกมาเป็นจำนวนมากส่งผลให้กลุ่มนักลงทุนดังกล่าวเป็นผู้ขายสุทธิในที่สุด

ถึงกระนั้นแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่เจาะจงไปยังหุ้นกลุ่มบลูชิพ และหันไปลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลมากๆ ก็เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ดัชนียืนหยัดเหนือแนวรับ 650จุดอย่างแข็งแกร่ง

ภาพรวมของตลาดหุ้นตลอดทั้งสัปดาห์ถึงเป็นลักษณะ side way up โดยมีหุ้นกลุ่มแบงก์ พลังงาน และอสังหาริมทรัพย์ เป็นแกนหลักในการผลักดันให้ดัชนีเดินหน้าขึ้นไปสร้างแนวรับใหม่ที่สูงขึ้นกว่าเดิม

โดยปัจจัยลบที่มีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นยังอยู่ที่สถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่มีความชัดเจน และมาตรการต่างๆ ของ ธปท. จะเข้มข้นขึ้นอีกหรือเปล่า หลังค่าเงินบาทยังแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ประเด็นดังกล่าวถือเป็นการสร้างความวิตกกังวลให้กับนักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นอย่างมาก และอาจทำให้นักลงทุนกลุ่มดังกล่าวเลือกเทขายทำกำไร แล้วหันไปถือครองเงินสดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

เหล่านี้ คือ แรงกดดันสำคัญที่อาจทำให้ดัชนีปรับตัวขึ้นไปได้ไม่ไกล และเป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อหุ้นที่นักลงทุนถืออยู่โดยตรงและเชื่อว่าสัปดาห์นี้ดัชนีคงแกว่งตัวไปมาอยู่ในกรอบแคบๆ

สัปดาห์นี้ดัชนีมีแนวต้านสำคัญอยู่ที่ จุด และมีแนวรับสำคัญที่ 640-630 จุด

 กลับขึ้นบน
samjin
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 352
#1 วันที่: 29/01/2007 @ 08:55:12 : re: วิเคราะห์สัปดาห์ : ไปได้ไม่ไกล
เฟดชี้นำตลาดเอเชีย @ ผลประกอบการทะยอยออกมามากขึ้น

ฮ่องกง นักลงทุนจะรอฟังผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ในสัปดาห์นี้และเริ่มเชื่อกันว่าจะไม่มีการลดดอกเบี้ยในสหรัฐแล้ว นอกจากนี้จะโฟกัสไปที่ผลประกอบการบริษัทซึ่งกำลังทะยอยออกมามากขึ้น โดยส่วนใหญ่มีแนวโน้มไม่เลวนัก

บริษัทใหญ่ๆที่จะแถลงรายได้ในสัปดาห์นี้ได้แก่ โซนี่ ฮอนด้าในตลาดญี่ป่น ออย แอนด์เนเจอรัล แก๊สในอินเดีย และไฮนิกซ์ เซมิคอนดักเตอร์ของเกาหลีใต้

ทิม ร็อกส์ นักวิเคราะห์หุ้นของแมคควอรี่ ซีเคียวริตีส์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นเอเชียจะมีความผันผวนมากขึ้นในระหว่างฤดูแถลงผลประกอบการแต่ก็ไม่คิดว่าแนวโน้มผลประกอบการที่จะออกมาจะอ่อนแอมาก

อย่างไรก็ตาม ร็อกส์กล่าวว่า ตลาดหุ้นเอเชียจะเจอกับความลำบากมากขึ้นในเดือนที่จะมาถึงนี้เนื่องจากนักลงทุนเริ่มตระหนักว่า อาจจะไม่มีการลดดอกเบี้ยในสหรัฐแล้ว

ข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐแข็งแกร่งมาก และเฟดไม่น่าจะลดดอกเบี้ยซึ่งมันไม่ดีต่อความรู้สึกและคิดว่าเราจะเริ่มเห็นการปรับตัวของแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยอีกระยะหนึ่ง

ดัชนีหุ้นในเอเชียแปซิฟิกของเอ็มเอสซีไอ แตะระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือนเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาก่อนที่จะถดถอยลงมาเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในสัปดาห์ที่ผ่านมา

ผลการสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ของรอยเตอร์พบว่า ส่วนใหญ่คาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานไว้ที่ 5.25% ต่อไปเมื่อมีการประชุมในวันที่ 30-31 มกราคมนี้แต่ทุกสายตาจะจ้องการตัดสินใจของเฟดเพื่อดูว่าอัตราดอกเบี้ยในอนาคตจะเคลื่อนไหวอย่างไร

ในทางกลับกันคาดว่าธนาคารกลางอินเดียจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 31มกราคมนี้เพื่อควบคุมแรงกดดันเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่มองกันว่าจะเป็นตัวกดหุ้นอินเดีย

ตลาดญี่ปุ่น หุ้นญี่ปุ่นน่าจะเคลื่อนตัวในช่วงแคบๆเมื่อนักลงทุนจับตาอย่างใกล้ชิดต่อผลประกอบการของบริษัทอาทิ แคนนอน และโตชิบา ฮอนด้า และโซนี่ นักวิเคราะห์มองว่าผลประกอบการบริษัทญี่ปุ่นน่าจะค่อนข้างเป็นบวกซึ่งจะช่วยหนุนตลาดได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลประกอบการของบริษัทรถยนต์ และผู้ผลิตอุปกรณ์พิเศษอาจมีรายได้ดีกว่าคาดซึ่งน่าจะทำให้ดัชนีนิกเกอิเคลื่อนไหวระหว่าง 17,000-17,600 จุด

ตลาดเกาหลี น่าจะยังคงมีความผันผวน นักลงทุนโฟกัสผลประกอบการอย่างเช่นบริษัทไฮนิกซ์ เซมิคอนดักเตอร์ และจะให้ความสนใจเป็นพิเศษกับข้อมูลเศรษฐกิจเนื่องจากมีความกังวลว่าเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลงมากกว่าที่คาด นอกจากนี้มูลค่าการซื้อขายที่คาดว่าจะลดลงน่าจะเพิ่มความผันผวนมากขึ้นเนื่องจากมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มของบริษัทและเศรษฐกิจเกาหลีใต้ทำให้นักลงทุนไม่เต็มใจที่จะเสี่ยง สภาพคล่องในตลาดจึงไม่แข็งแกร่ง

ตลาดฮ่องกง นักลงทุนเตรียมรับมือกับการปรับตัวลงอีกหลังจากที่ดัชนีฮั่งเส็งปรับตัวลงลงจากสถิติสูงสุด ในขณะเดียวกันทุกสายตาจะจับจ้องไปที่จีนเมื่อมีความกังวลมากขึ้นว่ารัฐบาลปักกิ่งอาจดำเนินมาตรการควบคุมเศรษฐกิจเพิ่มเติมหลังจากที่ข้อมูลเงินเฟ้อในเดือนธันวาคมสูงขึ้นกว่าที่คาด อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการปรับฐานอย่างรุนแรง ตลาดยังคงมีแรงซื้อมากจึงควรจะหนุนดัชนีฮั่งเส็งไว้ที่ 19,500 จุดได้ ในขณะที่หุ้นบริษัทจีนที่จดทะเบียนในฮ่องกงอาจจะทดสอบ 9,400 จุด

ตลาดออสเตรเลีย มองกันว่าจะวิ่งต่อเมื่อนักลงทุนเริ่มมีความคึกคักต่อฤดูแถลงผลประกอบการที่กำลังจะมา แต่นักลงทุนส่วนหนึ่งอาจทำกำไรจากราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งเมื่อเร็วๆนี้และจะไม่ปราณีต่อบริษัทที่มีผลประกอบการไม่เป็นไปตามที่คาด

ตลาดไต้หวัน อาจปรับตัวลงอีกหลังจากที่ผลประกอบการบริษัททีเอสเอ็มซีน็อคตลาดจนต่ำสุดในรอบสองสัปดาห์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ในขณะเดียวกันจะมีความระมัดระวังต่อผลประกอบการจากบริษัทเทคโนโลยีในไต้หวันและสหรัฐที่จะออกมาอีก นักวิเคราะห์คาดว่าดัชนีไทเอ็กซ์อาจอ่อนตัวลงไปทดสอบ 7,750 จุด หลังจากที่มีสัญญาณว่าภาคเทคโนโลยีอยู่ในช่วงขาลง ซึ่งสังเกตได้จากบริษัทชิพที่ผลิตตามสัญญารายใหญ่ๆของโลกมีกำไรน้อยมากในช่วง 5 ไตรมาสที่ผ่านมา และคาดว่าจะลดลงอีกในช่วงไตรมาสหนึ่ง

ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลายๆตลาดในภูมิภาคนี้อาจจะปรับตัวลงในช่วงต้นสัปดาห์เพราะนักลงทุนจะทำกำไรจากราคาหุ้นที่ดีดตัวขึ้นจนทำให้ดัชนีส่วนใหญ่ในภูมิภาคทำสถิติไปเมื่อเร็วๆนี้ เทรดเดอร์ในสิงคโปร์จะรอฟังผลประกอบการหุ้นบลูชิพหลายตัว เช่นเคพเพล คอร์ป และฟอร์จูน รีต วินสัน ฟอง หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายลงทุนบริษัทเอสจีแอสเซ็ต แมเนจเมนต์ในสิงคโปร์ กล่าวว่า นักลงทุนในภูมิภาคนี้ทำเงินได้มากในช่วงสามปีที่ผ่านมา และถึงแม้ว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและรายได้เติบโตดี แต่มีการประเมินมูลค่าหุ้นบลูชิพแพง

ตลาดเอเชียใต้ คาดว่าหุ้นอินเดียจะปรับตัวลง เมื่อการแถลงผลประกอบการใกล้เสร็จสิ้นแล้วและตลาดรอดูการทบทวนนโยบายเงินในวันที่ 31 มกราคม ซึ่งคาดกันว่าธนาคารกลางอินเดียจะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เพื่อควบคุมเงินเฟ้อซึ่งกำลังสูงถึง 6% ต่อปี
 กลับขึ้นบน
samjin
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 352
#2 วันที่: 29/01/2007 @ 08:57:26 : re: วิเคราะห์สัปดาห์ : ไปได้ไม่ไกล
ตลาดซื้อ-ขายอนุพันธ์เริ่มเหงา สัญญาหดเหลือ 1,533 สัญญา

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาการซื้อขายตลาดอนุพันธ์มีซื้อขายทั้งหมดอยู่ที่ 1,533 สัญญา ลดลง433 สัญญา จากการซื้อขายวันก่อน(25 ม.ค.)ที่มีการซื้อขาย 1,966 สัญญา

สัญญา S50H07 มีปริมาณการซื้อขาย 1,504 สัญญา, สัญญา S50M07 มีปริมาณการซื้อขาย 28 สัญญา และสัญญา S50U07 มีปริมาณการซื้อขาย 1 สัญญา ส่วนสัญญา S50Z07ไม่มีปริมาณการซื้อขาย และ นักลงทุนสถาบัน ซื้อสุทธิ 85 สัญญา

นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 60 สัญญา นักลงทุนรายย่อย ขายสุทธิ 25 สัญญา

นายกิดาการ สุวรรณธรรมา ผู้อำนวยการฝ่ายตลาดอนุพันธ์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)กล่าวว่า วันนี้ฟิวเจอร์ส ราคาปรับตัวลดลงตาม SET50 Index ซึ่งปรับตัวลงตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ แต่ ณ จุดที่ตลาดปิดไม่ถือว่าเสียโมเมนตัม ซึ่งแปลว่าถ้าสัปดาห์หน้าปัจจัยพื้นฐานยังคงที่
หรือไม่มีปัจจัยลบเข้ามา ตลาดน่าจะยังขึ้นต่อได้อีกนิดหน่อย

ส่วนกรณีที่ ธปท.ปรับลดคาดการณ์จีดีพี ปี 50 และคาดการณ์จีดีพีปี 51 นั้นตลาดรับรู้ไปแล้ว ส่วนที่ต้นสัปดาห์หน้า ธปท. จะประกาศแนวทางเลือกในการปฏิบัติภายใต้มาตรการสำรอง 30% เงินทุนนำเข้าจากต่างประเทศ โดยให้สามารถเลือกจะสำรองตามเกณฑ์เดิมหรือทำป้องกันความเสี่ยง(hedging)
มีผลในต้นเดือน ก.พ.นั้น ข่าวนี้ออกมาตั้งแต่เช้า ทำให้มีคนซื้อสวนเข้ามา ซึ่งเป็นไปได้ในทางผ่อนคลาย แต่คงไม่ถึงกับคลายความกังวล

ใครที่มี Position Long อยู่ ยังถือต่อได้ แต่ไม่ต้องเปิดเพิ่ม เพราะราคาขึ้นมาใกล้สุดแล้ว

ประเมินกรอบราคาวันจันทร์นี้(29 ม.ค.) สำหรับตลาดฟิวเจอร์ส แนวต้านที่ 463จุด แนวรับที่ 456 จุด ส่วนตลาด SET50 Index แนวต้านที่ 462 จุด ส่วนแนวรับที่ 459จุด

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์ เฮียน(ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) ได้วิเคราะห์การลงทุนในตลาดอนุพันธ์ช่วงระหว่างวันที่ 26 มกราคม - 2 กุมภาพันธ์ 2550 ด้วยการแนะนำให้นักลงทุนทำ Long Position ในสัญญาระยะสั้น S50H07 และสัญญาระยะกลาง S50M07

ให้รอการเก็งกำไรเรื่องเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียน และคลายกังวงเรื่องการเมือง และการลงทุนทั้งส่วนของภาครัฐ และต่างชาติที่เพิ่มขึ้น จะช่วยกระตุ้นภาวะตลาดให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง

ในรอบสัปดาห์ก่อน ยูโอบีฯ ได้มีมุมมองตลาดถึงผลการประกาศตัวเลขส่งออกที่เพิ่มขึ้น และค่าเงินบาทมีความเสถียรภาพมากขึ้น ทางแบงก์ชาติจึงอาจมีนโยบายลดหย่อยมาตรการกันสำรอง 30% สำหรับนักลงทุนต่างชาติ

ส่งผลให้ตลาดทรงตัวอยู่จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิ 1,500 ล้านบาทจากสัปดาห์ก่อน ที่ 6,000 ล้านบาท ตั้งแต่ต้นปี 2550 ถึงปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 10,000 ล้านบาท

ภาวะตลาดเริ่มปรับตัวได้ เนื่องจากกระแสความผันผวนทั้งด้านเศรษฐกิจ และการเมืองภายในประเทศมีความชัดเจนมากขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มมีความเชื่อมั่น นอกจากนั้นภาครัฐเริ่มมีแนวโน้มที่จะกระตุ้นการลงทุนผ่านระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และการลงทุนทางตรงของนักลงทุนต่างชาติ
จึงเกิดเป็นสัญญาณที่ดีต่อภาพการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์

ด้านทิศทางการลงทุน ยูโอบีฯ มองว่า ปัจจัยการลงทุนเริ่มมีภาพที่ชัดเจนมากขึ้น อีกทั้งคาดว่า แบงก์ชาติอาจจะมีการปรับตัวเลข GDP เพิ่มขึ้นจากเดิม 4-5% เนื่องจากกระแสตอบรับจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มดีขึ้น ภายหลังการชี้แจงของนากยกรัฐมนตรีต่อหอการค้าต่างประเทศ

ขณะเดียวกัน การประกาศลงทุนในโครงการรถไฟฟ้า 5 สาย ก็มีความชัดเจนมากขึ้น ภายหลังการเข้าพบรัฐมนตรีของประเทศญี่ปุ่นของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง

แนวโน้มตลาดในรอบสัปดาห์นี้ อาจถูกผลักดันให้ขึ้นได้ต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าไปเก็งกำไรเงินปันผลของผลการดำเนินงานปี 2549
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com