May 15, 2024   3:23:28 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้นค่ะ......
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 29/01/2007 @ 09:15:43
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บล.บัวหลวงแนะนำซื้อ FUTURPFราคาเป้าหมาย 11.94 บาทส่วนต่างอัตราผลตอบแทนอยู่ในระดับสูง: เราพบว่า FUTURPF มีส่วนต่างอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ถึง 5% ซึ่งถือว่ามีส่วนต่างสูงเป็นอันดับที่2 ในกลุ่มของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ไม่มีความกดดันจากแรงขาย:FUTUREPF มีอัตราส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติอยู่ในสัดส่วนน้อย เราเชื่อว่าการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนระยะสั้นได้ขายออกมาหมดแล้ว อย่างไรก็ตามเราคิดว่าในท้ายที่สุดทาง BOTจะทำการผ่อนผันในเรื่องการควบคุมเงินทุนสำหรับกองทุนอสังหารินทรัพย์ มีแนวโน้มว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดลง: โดยทาง BOT น่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งกองทุนอสังหาริมทรัพย์จะได้ประโยชน์จากส่วนต่างอัตราผลตอบแทนที่จะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้มีความน่าสนใจในการลงทุนเพิ่มมากขึ้นการทำ arbitrage : จากความเสี่ยงในอุตสาหกรรมของ FUTUREPF ที่ต่ำแต่กลับให้อัตราผลตอบแทนที่สูง นักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนอสังหาฯอยู่แล้วน่าจะมีการสลับปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนมาลงทุนในFUTUREPFเรายังมองว่าการเติบโตของ FUTUREPF ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงในส่วนของการเติบโตของอัตราค่าเช่า โดย FUTUREPF ณ ขณะนี้มีราคาที่น่าสนใจอย่างมากและมีเงินปันผลอยู่ในระดับสูง ด้วยราคาปัจจุบันที่ 8.4 บาท อัตราผลตอบแทนที่ 11.37% สำหรับปีนี้ และ 11.87% สำหรับปีหน้า


บล.เกียรตินาคินแนะนำซื้อ BANPUราคาเป้าหมาย 197.00 บาทแม้ว่าการคาดหมายปริมาณถ่านหินที่ซื้อขายในภูมิภาคนี้ในปี 2550อยู่ที่ 300 320 ล้านตัน จะเพิ่มเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่ภาพรวมตลาดถ่านหินในภูมิภาคถือว่ายังมีดุลยภาพ แม้ว่าจะมีการส่งออกเพิ่มขึ้นจากในประเทศอินโดนีเซีย และออสเตรเลีย แต่การบริโภคที่เพิ่มขึ้นเช่นกันของประเทศจีน และอินเดีย รวมทั้งผู้ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าถ่านหินใน ญี่ปุ่น ไต้หวันและเกาหลีทำให้เราคาดว่าระดับราคาขายถ่านหินยังสามารถยืนในระดับ 50 เหรียญต่อตันในปี2550 ขณะที่ระยะยาวคาดว่าราคาขายถ่านหินจะอยู่ในกรอบ 45 50 เหรียญต่อตันได้ ผลประกอบการปี 2550 โดดเด่นต่อเนื่องจาก ราคาถ่านหินที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมทั้งรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน BLCP เต็มปี 1. คาดปริมาณขายปี 2550 อยู่ที่ 21.5ล้านตัน ใกล้เคียงกับปี 2549ที่ผ่านมา การเพิ่มกำลังการผลิตทรูปาอินโด ส่วนหนึ่งเพื่อมาชดเชยกำลังการผลิตของเหมืองในประเทศไทย ที่คาดว่าจะมีกำลังการผลิตลดลงอย่างน้อย 0.5ล้านตันแต่เราเชื่อว่าจะทำให้ราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น เนื่องจากถ่านหินจากเหมืองทรูปาอินโดให้ราคาขายที่สูงกว่าถ่านหินจากเหมืองในประเทศไทย จากคุณภาพของถ่านหิน 2. แม้ว่าบริษัทจะมองว่าราคาขายเฉลี่ยถ่านหินในปี 2550 อยู่ที่ 37เหรียญต่อตัน แต่เรายังยืนประมาณการราคาขายเฉลี่ยถ่านหินไว้ที่ 36 เหรียญต่อตัน เพิ่มขึ้น 1.4% yoy ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีการทำสัญญาซื้อขายถ่านหินไปกว่า 70% ของยอดขายที่บริษัทตั้งเป้าหมายไว้ที่ 21.5 ล้านตัน


3. ปี 2550 จะเป็นปีที่บริษัทรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้า BLCPเต็มปี ขนาดกำลังการผลิต 1,400 เมกะวัตต์ ซึ่งโรงไฟฟ้า BLCP#2 จะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ประมาณ ก.พ. 2550 ขณะที่โรงไฟฟ้าในประเทศจีนมีกำลังการผลิตส่วนเพิ่มจากโครงการขยายกำลังการผลิตที่ทำไปเมื่อไตรมาส 4/2549 ที่ผ่านมา 4. ระดับราคาน้ำมันที่ลดลงในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ต้นทุนในการดำเนินงานลดลง แม้ว่าบริษัทจะมีการเพิ่มกำลังการผลิตในบางเหมืองทำให้มีต้นทุนจากการเปิดหน้าดินเพิ่มขึ้นก็ตาม

บล.ซิกโก้แนะนำซื้อ BECราคาเป้าหมาย 24.54 บาทในงวด 4Q49 ซึ่งปกติเป็นช่วงที่มีเม็ดเงินโฆษณาเข้ามามากตามฤดูกาล แต่สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ส่งผลให้ความมั่นใจของผู้ลงโฆษณาลดลง ทำให้เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อโฆษณาผ่านสื่อทีวีใกล้เคียงกับงวด 3Q49 โดยเม็ดเงินโฆษณาบางส่วนไหลไปอยู่ที่การถ่ายทอดสดเอเซี่ยนเกมส์ทางช่อง 11 อย่างไรก็ตามช่อง 3 มีสัดส่วนผู้ชมรายการมากขึ้นจากสัดส่วน 22.2% ในเดือนกันยายน 2549 มาอยู่ที่ 27.3% ในเดือนธันวาคม 2549 ส่งผลให้ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ว่า BEC จะมีรายได้โฆษณาเพิ่มขึ้น 1% qoq แต่จะได้รับผลกระทบการงดการถ่ายทอดสดงาน Count Down เนื่องจากเหตุการณ์การวางระเบิด ซึ่งคาดว่าจะขาดทุนจากงานดังกล่าวราว 10 ล้านบาท ดังนั้นเราจึงคาดการณ์ว่า BEC จะมีกำไรสุทธิงวด 4Q49เท่ากับ 425 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า และเติบโตเท่าตัวจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ทั้งปี 2549 มีกำไรเท่ากับ 1.75 พันล้านบาท เติบโตเท่าตัว สอดคล้องกับประมาณการเดิมสำหรับปี 2550 แม้ภาวะอุตสาหกรรมโฆษณาโดยรวมจะชะลอตัวตามสถานการณ์การเมืองและภาวะเศรษฐกิจ แต่ BEC ยังได้รับประโยชน์จากกลยุทธการปรับขึ้นค่าโฆษณาสำหรับรายการที่มีเรตติ้งดีคือ 1) รายการเก็บตก จาก 2.9 แสนบาทต่อนาทีเป็น 3.3 แสนบาทต่อนาที ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 50 2) รายการเรื่องเล่าเช้านี้ จาก1.55 แสนบาทต่อนาที เป็น 1.75 แสนบาทต่อนาที และ 3) เรื่องเด่นเย็นนี้จาก 1.2 แสนบาทต่อนาที เป็น 1.75 แสนต่อนาที โดยทั้ง 2 รายการหลังมีการปรับขึ้นอัตราค่าโฆษณาและมีการขยายเวลาการออกอากาศอีกรายการละ 15 นาที ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2550 นอกจากนี้ยังปรับผังรายการใหม่ในวันเสาร์-อาทิตย์โดยนำรายการที่สถานีผลิตเองออกอากาศแทนรายการที่แชร์ส่วนแบ่งรายได้กับผู้ผลิตภายนอกเพื่อเพิ่มรายได้กับทางสถานี คือ 1) เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์ อัตราโฆษณา 2.3 แสนบาทต่อนาที และ 2) ภาพยนตร์จีนเรื่องเซียนกระบี่พิชิตมาร ผลักดันการเติบโตปี 2550 ดังนั้นเราจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2550 7.4% โดยกำไรสุทธิปี 2550 ภายใต้ประมาณภารใหม่อยู่ที่ 2.16 พันล้านบาท เติบโตสูงถึง 23.6% yoy และมีผลให้มูลค่าพื้นฐานใหม่ใน ปี 2550 คำนวณด้วยวิธี DCF ที่ WACC10.54% อยู่ที่ 24.54 บาท มี Upside 18.6%


บล.ธนชาตแนะนำซื้อ MCSราคาเป้าหมาย 4.10 บาทสำหรับผลการดำเนินงานใน 4Q06 และปี 2006 ที่บริษัทฯ จะประกาศออกมาในราวปลายเดือนหน้านั้น เราคาดว่ากำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติใน 4Q06 จะอ่อนตัวลง เนื่องจากปริมาณการขายที่ชะลอตัวลง รวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินเยน โดยในช่วง 4Q06 เงินบาทแข็งค่าขึ้นราว 6%อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานรวมทั้งปี 2006ที่จะประกาศออกมานั้น จะยังเติบโตดีกว่าที่เราเคยประเมินไว้ และดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับผลประกอบการของปี 2005โดยเราประเมินเบื้องต้นว่า ยอดขายรวมของบริษัทฯ ใน 4Q06น่าจะใกล้เคียงกับ 4Q05 แต่ลดลงจาก 3Q06 ซึ่งเป็นฐานที่สูง โดยเราประเมินว่ายอดขายรวมใน 4Q06 อยู่ที่ 688 ล้านบาท และทำให้ยอดขายทั้งปี 2006 อยู่ที่ระดับ 3.1 พันล้านบาท ส่วน gross margin ใน 4Q06 เราคาดว่าจะอ่อนตัวลงเป็น 16% เมื่อเทียบกับ 3Q06 ที่ 17.1% เนื่องจาก ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินเยน ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานคาดว่าจะทรงตัวจากไตรมาสที่ผ่านๆ มา ซึ่งจะทำให้ MCS มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติที่ 58 ล้านบาท ใน 4Q06 ทรงตัวจาก4Q05 แต่ลดลง 37% จาก 3Q06และส่งผลให้มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติที่ 315ล้านบาท ในปี 2006 เพิ่มขึ้น 36% y-y อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในด้านของกำไรสุทธิใน 4Q06 เราคาดว่าบริษัทฯ จะมีการรับรู้รายการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามาในไตรมาส 4 และจะมีการบันทึกกำไรจากการขายหุ้น STPI ออกไปราว 22 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้มีกำไรสุทธิใน 4Q06 อยู่ที่ 73ล้านบาท
[/color:859991ebf3">

 กลับขึ้นบน
Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
#1 วันที่: 29/01/2007 @ 10:20:16 : re: สัญญาณหุ้นค่ะ......
เวทีวิเคราะห์

ซื้อเก็งกำไร KCE เป้าหมาย 5.14 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป จำกัด แนะนำ ซื้อเก็งกำไร KCE แม้คาดผลการดำเนินงานจะพลิกกลับมากำไรอีกครั้ง แต่ตลาดยังกังวลกับปัจจัยลบต่างๆที่มีอยู่และกดดันต่อราคาหุ้น อีกทั้งปี 2550 คาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 400 ล้านบาท เพื่อ

ขยายกำลังการผลิตที่เคซีอีลาดกระบัง แต่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่สูงถึง 3.1 เท่าจากการก่อหนี้ที่เพิ่มขึ้นแม้ว่าบริษัทมีแผนขายหุ้นกู้เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องการดำเนินงานแต่สภาพตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยทำให้การขายอาจทำได้ไม่ง่ายและมีความเสี่ยงต่อแผนขยายการลงทุนเพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่มี ทั้งนี้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่สูงและแผนการลงทุนเพิ่มเพื่อขยายกำลังการผลิตทำให้มีความกังวลว่าอาจต้องเพิ่มทุนหากไม่สามารถจำหน่ายหุ้นกู้ได้ตามที่คาดซึ่งเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาหุ้นของ KCE อย่างไรก็ตามจากแนวโน้มผลการดำเนินงานที่มีการฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 4 เป็นต้นไป และต่อเนื่องในอนาคตทำให้ KCE เป็นหุ้นตัวหนึ่งในกลุ่มชิ้นส่วนฯ ที่ผลการดำเนินงานกลับมาโดดเด่นอีกครั้ง

ถือ NWR เป้าหมาย 1.00 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) แนะนำ ถือ NWR บริษัทเซ็นสัญญารับงานก่อสร้างใหม่ 3 โครงการ มูลค่างานก่อสร้างรวม 412.18 ล้านบาทประกอบด้วยโครงการศูนย์รับเลี้ยงเด็กทีปังกรรัศมีโชติ, อาคารในเขตพื้นที่ C1-C2 ของท่าเรือแหลมฉบัง และบ่อพัก-ท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดิน บางบัวทอง งานที่รับเข้ามาใหม่ส่วนใหญ่จะเป็นงานก่อสร้างในภาคเอกชน โดยปัจจุบัน NWR มี Backlog Order ประมาณ 8 พันล้านบาท ซึ่งเพียงพอในการสร้างรายได้ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยเห็นว่าจุดที่น่าจับตามองสำหรับ NWR คือการปรับทบทวนจากการเป็นผู้รับเหมา มาสู่การเป็นผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขาย โดยปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ 2 โครงการ ซึ่งหากประสบความสำเร็จจะทำให้ NWR มีฐานกำไรที่ขยับขึ้นอย่างรวดเร็ว เฉพาะอย่างยิ่งในปี 2551 ฝ่ายวิจัยกำหนด Fair Value ที่ Book Value หรือประมาณ 1 บาท

ซื้อ JTS เป้าหมาย 4.10 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคิน จำกัด แนะนำ ซื้อ JTS มีมุมมองที่ดีขึ้นต่อแนวโน้มปี 50 ของ JTS คาดว่าผลประกอบการยังเติบโตได้จากโครงการในมือ (Backlog) ที่มีมูลค่ารวมประมาณ 2,470 ล้านบาท ดีกว่าประมาณการเดิม
ของฝ่ายวิจัยที่ 1,941 ล้านบาท รวมทั้งการนำเข้าอุปกรณ์ทดสอบใหม่ ที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ JTS ส่งผลให้รายได้จำหน่ายอุปกรณ์ทดสอบ (Test Equipment) มีแนวโน้มเติบโตกว่าประมาณการเดิมของฝ่ายวิจัย นอกจากนี้ JTS ยังรอผลโครงการ CAT/TOT ที่เข้าประมูล มูลค่ารวมประมาณ 1,200 ล้านบาท ซึ่งมีโอกาสได้งานสูง ปรับประมาณการปี 49 - 50 เพื่อสะท้อนโครงการในมือ (Backlog) ของ JTS ที่มีมูลค่ามากกว่าประมาณการไว้ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นยังมีแนวโน้มต่ำกว่าประมาณการเดิม ทำให้ปี 49 คาดว่า จะมีกำไรสุทธิ 317 ล้านบาท จากเดิม 291 ล้านบาท ส่วนปี 50 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 320 ล้านบาท จากเดิม 268 ล้านบาท คงแนะนำ ?ซื้อ? จากแนวโน้มผลประกอบการที่ยังเติบโต

ซื้อ SAT เป้าหมาย 17.50 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ สินเอเชีย จำกัด แนะนำ ซื้อ SAT บริษัทมีแผนที่จะใช้เงินลงทุนราว 1,500 ล้านบาท และโรงงานใหม่จะมีกำลังผลิต 2.5 หมื่นชุดต่อเดือน คาดว่าจะสร้างรายได้ให้กับ SAT เฉลี่ย 1,200-1,300 ล้านบาทต่อปี อย่างไรก็
ตาม SAT คาดว่าหากได้ข้อสรุปแล้วจะเริ่มก่อสร้างโรงงานในปี 51จากจำนวนเงินลงทุนดังกล่าว คาดว่าอาจจะทำให้ SAT ซึ่งมีเงินสดในมือประมาณ 200-300 ล้านบาท ต้องมีการเพิ่มทุนร่วมกับการก่อหนี้เพิ่ม แต่เนื่องจากโครงการดังกล่าวคาดว่าจะให้อัตรากำไรขั้นต้นในระดับที่ค่อนข้างสูงกว่าในปัจจุบัน ดังนั้นจึงมองว่าเป็นโครงการที่น่าสนใจ ซึ่ง SAT อาจจะต้องใช้เวลาในการสร้างโรงงานอีกราว 1-2 ปี กว่าที่จะเริ่มผลิตได้ในส่วนของการเข้าเทคโอเวอร์โรงงานหล่อเหล็กเหนียวคาดว่าจะช่วยให้อัตรากำไรขั้นต้นของ SAT เพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นการผลิตเองแทนการ Outsource ซึ่งการผลิตเองมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าการ Outsource จากบริษัทอื่น โดยการเทคโอเวอร์โรงงานหล่อเหล็กเหนียวคาดว่าจะใช้เงินทุนราว 200 ล้านบาท และคาดว่ากระบวนการในการเทคโอเวอร์โรงงานดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2/50






[/color:670792bf2c">
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com