May 14, 2024   4:20:47 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้นค่ะ......
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 30/01/2007 @ 09:07:33
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บล.เอเซีย พลัสแนะนำซื้อSEAFCOราคาเป้าหมาย 10.48 บาทปี 2549 SEAFCO มีการเซ็นสัญญารับงานใหม่มูลค่ารวม 2.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากฐานปี 2548 ที่รับงานใหม่เพิ่ม 1.1 พันล้านบาท ส่วนเรื่องการบันทึกรายได้จากงานก่อสร้างในงวดปี 2549 คาดว่าจะอยู่ที่ 2.25 พันล้านบาท สูงกว่าประมาณการเดิมของฝ่ายวิจัย 7% ทำให้ต้องปรับประมาณการรายได้ปี 2549 ให้สูงขึ้น และเมื่อรวมกับการปรับปรุงรายการอื่นๆ คาดว่า SEAFCO จะมีกำไรจากการดำเนินงาน 165 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการเดิมของฝ่ายวิจัย 12% หากจะแยกพิจารณาเฉพาะผลประกอบการงวด 4Q49ฝ่ายวิจัยประเมินว่า SEAFCO จะมีกำไรจากการดำเนินงาน ประมาณ 33 ล้านบาท ลดลงจาก 3Q49 เนื่องจากมีการบันทึกรายได้จากงานก่อสร้างที่ต่ำกว่า อีกทั้งมีการบันทึกค่าใช้จ่ายโบนัสสำหรับพนักงาน ด้านเงินปันผลคาดว่าทั้งปี 2549 น่าจะจ่ายที่ระดับ 0.39 บาท/หุ้น โดยในงวด 1H49 ได้จ่ายไปแล้ว 0.12 บาท/หุ้น ฝ่ายวิจัยประเมินว่า ณ สิ้นปี 2549SEAFCO จะมี Backlog ยกไปประมาณ 900 ล้านบาท โดย Backlog ดังกล่าวน่าจะมีสัดส่วนของงานโยธา (ส่วนต่อเนื่องจากงานฐานราก) ประมาณ 29% โดยที่งานประเภทดังกล่าวมี Gross Margin 12-14% ส่วนที่เหลือเป็นงานฐานรากประเภทงานเข็ม และกำแพงกันดิน ซึ่งมี Gross Margin 18-20% จากการประเมินสถานการณ์งานก่อสร้างในปี2550 พบว่ายังมีปริมาณงานก่อสร้าง อาคารสูงประเภท คอนโดมิเนียม, อาคารสำนักงาน,Service Apartment, โรงแรม ตลอดจนอาคารสูงประเภทอื่นๆ เข้ามากอีกจำนวนมากนอกจากนี้ยังอาจมีโครงการรถไฟฟ้าเข้ามาเสริม ซึ่งจากภาพรวมดังกล่าวฝ่ายวิจัยคาดว่าSEAFCO น่าจะสามารถรับงานใหม่เพิ่มขึ้น 15% จากปี 2549 ทำให้ต้องมีการปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2550 ขึ้น 15%บล.กิมเอ็งแนะนำซื้อ DCCราคาเป้าหมาย15.50 บาทบมจ. ไดนาสตี้เซรามิค (DCC) ประกาศผลประกอบการไตรมาสสี่ ที่ยังตกต่ำและน่าผิดหวังอย่างหนักขึ้นอีก มีกำไรสุทธิเพียง 113 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.28 บาท) ลดลง13%qoqและ 7%yoy เป็นผลของปัญหาน้ำท่วมที่ยังมีผลต่อเนื่องในเดือน ต.ค. - พ.ย. และภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ยอดขายในไตรมาสสี่ลดลงเหลือ 993 ล้านบาท ลดลง 8%จากไตรมาสก่อน แต่ดีขึ้นจากปีก่อน 6% อัตรากำไรขั้นต้นปรับลดลงเล็กน้อยเหลือ 35.1%จาก 35.7% ในไตรมาสก่อน และ 35.9% จากปีก่อน เนื่องจากการผลิตที่ลดน้อยลงทำให้ไม่เกิดการประหยัดจากขนาด ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 174 ล้านบาท (-4%qoq,+18%yoy) เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกับยอดขาย ส่วน ดอกเบี้ยจ่ายเท่ากับ 26 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 74% เนื่องจากการรวมหนี้ของ 3บริษัทจัดจำหน่าย สำหรับใน 2550 เราคาดหมายสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติหลังจากปัจจัย เศรษฐกิจฟื้นตัว ดอกเบี้ยหยุดปรับขึ้น ราคาน้ำมันไม่พุ่งขึ้นแรงเหมือนปีก่อน และการบูรณะฟื้นฟูหลังน้ำท่วมในปีก่อน โดยตลาดหลักของ DCC ประมาณ 70% จะอยู่ในต่างจังหวัดและเน้นตลาดทดแทนเป็นส่วนใหญ่ โดยในปี 2549 DCC มีรายจ่ายเกี่ยวกับการขยายสาขาและการเพิ่มกำลังการผลิตมากถึง 700 ล้านบาทแล้ว ทำให้ปี 2550 มีการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการลงทุนในปี 2549 ดังนั้น เราจึงประเมินว่ายอดขายในปี 2550 จะเท่ากับ 4,664 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% และมีกำไรพลิกฟื้นเป็น 630 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 1.55 บาท) เพิ่มขึ้น 12% แต่เป็นประมาณการที่ปรับลดลงจากครั้งก่อน


บล.ยูไนเต็ดแนะนำ ซื้อ JTSราคาเป้าหมาย 3.81ภาพรวมผลประกอบการ 4Q49 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยแม้เราประมาณการรายได้รวมชะลอตัวถึง 16.5%QoQ ตามการรับรู้รายได้งานวางระบบโครงข่าย 0.3 ล้านเลขหมายของบ. TripleT BB ต่ำลงจาก 579 ล้านบาทเหลือ 362 ล้านบาทใน 4Q49 แต่จากอัตรากำไรขั้นต้นของงานดังกล่าวที่ค่อนข้างต่ำเพียง 12-13% จึงทำให้อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมสูงขึ้นค่อนข้างมากที่ ระดับ 18.6% ประกอบกับผลประโยชน์จากการเสียภาษีในอัตราที่ต่ำลงส่งผลคาดกำไรสุทธิ 4Q49 ยังเติบโตต่อเนื่องราว 8.3%QoQ อยู่ที่ 84.2 ล้านบาท ซึ่งภาพรวมผลการดำเนินงานสุทธิปี 49 ที่จะขยายตัวโดดเด่น 20.7%YoY ทำให้เราคาด JTS จะประกาศเงินปันผลทั้งปีไม่ต่ำกว่า 0.18 บาทต่อหุ้น โดยแบ่งจ่ายงวด 1H49 ไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.13 บาทต่อหุ้น จากงานโครงการในมือรวมทั้งบริษัทที่ยังมีอยู่ถึง 1,279 ล้านบาทและอยู่ระหว่างเตรียมเข้าประมูลในปี 50 อีกกว่า 2,000-3,000 ล้านบาทประกอบกับธุรกิจขายเครื่องมือวัดและทดสอบสัญญาณ (Test Equipment) ที่มีแนวโน้มเติบโตมากหลังมีการจำหน่ายสินค้าเพิ่ม จึงทำให้เราปรับเพิ่มประมาณการรายได้รวมและกำไรปกติปี 50 เพิ่มขึ้นจากเดิม 22.9% และ 14.8% ตามลำดับ มาอยู่ที่ 2,687 ล้านบาทและ 296 ล้านบาทหรือส่งผลให้ผลการดำเนินงานปกติปี 50 ยังขยายตัวต่อเนื่องอีกราว 4.1%YoYด้วยปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มผลประกอบการ 4Q49 ที่ขยายตัวต่อเนื่อง และงานในมือที่ยังเหลืออยู่มากถึง 1,279 ล้านบาท จึงเป็นหลักประกันรายได้ในอนาคตประกอบกับธุรกิจอื่น ๆ ก็มีแนวโน้มฟื้นตัว จึงทำให้เราแนะนำ ซื้อ ประเมินราคาเป้าหมายที่เหมาะสมปี 50 ใหม่เพิ่มจาก 3.70 บาทเป็น 3.81 บาทอ้างอิงวิธี PER ที่ลดลง เพื่อสะท้อนความเสี่ยงจากความล่าช้าของงานประมูลโครงการต่างๆ เหลือ 9 เท่า ซึ่งมี Upside Gain ราว 48%


บล.นครหลวงไทยแนะนำซื้อ THAIราคาเป้าหมาย 49.70 บาทปัญหาการพบรอยแตกร้าว 26 จุด ที่ Taxiway ที่สนามบินสุวรรณภูมิยังคงอยู่ระหว่างการตรวจสอบและปัจจุบันยังไม่อยู่ในระดับรุนแรงจนทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยในระดับที่ต้องพิจารณาย้ายสนามบินกลับไปใช้สนามบินดอนเมือง อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงสำคัญคือหากการตรวจสอบพบปัญหาที่ขยายตัวเพิ่มอาจนำไปสู่การปิดหรือย้ายสนามบินชั่วคราวซึ่ง SCIBSเห็นว่า AOT ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด รองลงมา คือ BAFS ขณะที่ THAI มีปัจจัยบวกอื่นทั้งราคาน้ำมันที่ลดลงและ Cabin factor ที่ดีขึ้นมาชดเชย หากพิจารณาถึงราคาหุ้นทั้ง 3ตัวที่ปรับลดลงค่อนข้างมากจากประเด็นดังกล่าว THAI น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าลงทุนที่สุดปัจจุบันการตรวจสอบพบรอยร้าวจำนวน 26 จุด ที่ Taxiway ถือว่ายังไม่รุนแรงในระดับที่ต้องมีการย้ายสนามบิน โดย AOT ใช้แนวทางการแก้ปัญหาด้วยการปิดซ่อมเฉพาะส่วนซึ่งไม่กระทบความสามารถในการรองรับการขึ้นลงของเที่ยวบินในปัจจุบันจากCapacity ของ Runway ที่ยังใช้อยู่ไม่เต็มที่(ใช้อยู่ราว 2550 เที่ยวบิน/ชั่วโมงจากความสามารถสูงสุด 76 เที่ยวบิน/ชั่วโมง) ปัญหาดังกล่าวอยู่ระหว่างการตรวจสอบ แต่ความเสี่ยงที่ SCIBS ให้ความสำคัญคือการแตกร้าวที่ขยายตัวเพิ่มไปสู่ส่วนของ Runway ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและอาจนำไปสู่การปิด หรือย้ายสนามบินชั่วคราว สำหรับ THAISCIBS ประเมินว่าในกรณี Worst Case ที่ต้องมีการย้ายสนามบิน ผลกระทบจะน้อยกว่าAOT โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการย้ายอุปกรณ์และเครื่องมือกลับไปสนามบินเดิมทั้งขาไปและกลับรวมราว 600 ล้านบาท (คิดเป็น EPS 0.36 บาท) ซึ่งกระทบต่อกำไรในปี 2550ราว 8.6% อย่างไรก็ตาม เป็นผลกระทบ one-time และค่าใช้จ่ายต่างๆในการดำเนินงานที่ดอนเมืองต่ำกว่าที่สุวรรณภูมิจึงคาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบเชิงลบที่ต่อเนื่องออกไป ขณะที่Cabin factor ในเดือนม.ค. 2550 ของ THAI ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างน่าประหลาดใจถึง 82% (เทียบกับเดือน ธ.ค. ที่ 79%) และปัจจัยบวกที่สำคัญคือแนวโน้มการปรับตัวลงของราคาน้ำมันซึ่งประเมินว่าทุก 1 เหรียญสหรัฐ จะเพิ่มกำไรสุทธิให้ THAI ได้ราว 200ล้านบาท THAI จึงถือเป็นหุ้นที่ยังมีแนวโน้มผลประกอบการฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งในปี 2550คำนิยามของ






[/color:14c4687550">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com