มาตรการผ่อนคลายกันสำรอง จะเกิดแรงขาย Sell On Fact
ธนาคารแห่งประเทศไทยเตรียมผ่อนคลายมาตรการกันสำรอง 30% สำหรับเงินกู้ยืมจากต่างประเทศ (รวมบริษัทแม่ในต่างประเทศ) โดยเพิ่มทางเลือกไม่ต้องกันสำรอง หากมีการทำประกันความเสี่ยงล่วงหน้า (Hedging) ทั้งจำนวน เท่ากับอายุของเงินกู้ยืม หรือ 1 ปี สำหรับเงินกู้ระยะมากกว่า 1 ปี ซึ่งคาดว่าจะมีการประกาศวันนี้ และให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. เป็นต้นไป นอกจากนี้ ผู้ว่าการ ธปท. ยังคาดว่า ผ่อนคลายผลิตภัณฑ์อื่นในตลาดตราสารหนี้ในอนาคตด้วย แนวทางการผ่อนคลายดังกล่าวจะถือเป็นพัฒนาการที่ดี ในการช่วยลดข้อจำกัดการนำเงินกู้ยืมจากต่างประเทศมาใช้ในการลงทุน อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าต่อเนื่องของเงินบาท ซึ่งล่าสุดเคลื่อนไหวที่ 35.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อาจชะลอการตัดสินใจผ่อนคลายมาตรการของ ธปท.

วันนี้...มีโอกาสดีดตัวขึ้นตามตลาดหุ้นในภูมิภาค และปัจจัยบวกในประเทศ จากมาตรการผ่อนคลายการกันสำรอง 30% สำหรับเงินกู้ยืมต่างประเทศ ในขณะที่คาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของ ธปท. แม้จะปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4.0% - 5.0% เป็นที่สังเกตว่า ภาคส่งออกสุทธิกลับดีขึ้น จากคาดการณ์ดุลการค้ากลับมาเกินดุล 2-4 พันล้านดอลลาร์ จากเดิมที่คาดว่าจะขาดดุล 4-7 พันล้านดอลลาร์ ช่วยชดเชยการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่ยังไม่ฟื้นตัว ท้ายที่สุด การแข็งค่าของเงินบาท ยังชะลอการขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติ

ในทางเทคนิค สามารถเก็งกำไรได้ หากดัชนียังคงยืนเหนือแนวรับ 650 - 653 จุด โดยเน้นกลุ่มที่มีปัจจัยบวก อาทิ พลังงาน หลังราคาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นกว่า 1.28 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขึ้นมายืนเหนือ 55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล (TOP, RRC) หุ้นที่ได้ประโยชน์จาการปรับลดอัตราดอกเบี้ย KBANK

TPIPL: ปี 49 กำไรปกติ 1.0 พันล้านบาท ราคาหุ้นเต็มมูลค่า - ขาย

สรุปประเด็นสำคัญ
? คงคำแนะนำ ?ขาย? แม้เราจะคาดกำไรปี 50 โต 42% แต่สาเหตุหลักมาจากดอกเบี้ยจ่ายที่คาดว่าจะลดลงจากการที่บริษัทสามารถ Refinance หนี้ได้ภายในครึ่งแรกปีนี้ ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER ปี 50 สูงถึง 17 เท่า และสูงกว่ามูลค่าพื้นฐานปี 50 ที่เราประเมินไว้ที่ 11.50 บาท (DCF, WACC 9% และ fully diluted จำนวนหุ้นทั้งหมด 2,019 ล้านหุ้น)
? ไตรมาส 4/49 มีกำไรสุทธิ 532 ล้านบาท โดยเป็นกำไรจากรายการพิเศษ 323 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากกำไรอัตราแลกเปลี่ยน 343 ล้านบาท หากไม่รวมรายการพิเศษมีกำไรจากการดำเนินงานสุทธิ 209 ล้านบาท ลด 47% จากไตรมาสก่อน เพราะยอดขายและอัตรากำไรที่ลดลง แต่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุน เพราะดอกเบี้ยจ่ายลด 60% หลังนำเงินเพิ่มทุนไปคืนหนี้

? ปี 49 กำไรจากการดำเนินงานสุทธิ 1.0 พันล้านบาท (ใกล้เคียงกับที่คาด) ลด 22% จากปีก่อนหน้า แม้ดอกเบี้ยจ่ายลดลง 32% จากการนำเงินเพิ่มทุนใหม่ไปลดหนี้ในไตรมาส 3/49 แต่อัตรากำไรที่ลดลงและค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น ทำให้กำไรปกติลดลงเป็น 1.0 พันล้านบาท อย่างไรก็ตามบริษัทมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 1.8 พันล้านบาท ทำให้มีกำไรสุทธิ 2.78 พันล้านบาท แต่ผล dilution จากหุ้นเพิ่มทุนทำให้กำไรปกติต่อหุ้นปี 49 ลด 69% จากปี 48 เป็น 0.50 บาท/หุ้น

? สำหรับปี 50 เราคงประมาณการเดิมที่คาดว่าจะมีกำไรโต 42% จากปี 49 เป็น 1.43 พันล้านบาท หรือ 0.71 บาท/หุ้น ด้วยสาเหตุหลักจากดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

INOX ราคาปิด 1.31 บาท แนะนำ ซื้อ
การอ่อนค่าของ INOX จากบริเวณ 1.51 บาท เมื่อเดือน ธ.ค. 49 นั้น คาดว่าเป็นเพียงการปรับฐานช่วงสั้นที่เกิดจากราคาดีดตัวอย่างรุนแรงในก่อนหน้านั้น ทั้งนี้สังเกตเห็นว่าเมื่อลงทดสอบเส้นค่าเฉลี่ย 75 สัปดาห์ ที่ 1.10 บาท สัญญาณแท่งเทียนรายสัปดาห์ก็เกิดรูปแบบ Morning Doji Star อันแสดงถึงการเป็นฐานการเปลี่ยนแนวโน้มที่มีนัยสำคัญ อนึ่ง แม้ช่วงสั้นราคาอาจผันผวนอยู่บ้างแต่ก็ไม่น่าปรับลงต่ำกว่าบริเวณที่เกิด Golden Cross ที่ 1.20 บาท แต่อย่างใด นักลงทุนสามารถทยอยข้าซื้อลงทุนได้
แนวรับ 1.10-1.20 บาท
แนวต้าน 1.50-1.60 บาท

เห็นว่า ประยุทธ แจงขายหุ้น INOX ให้ POSCO 10% ไม่มีนัยสำคัญ เหตุเป็นการลงทุน
ธรรมดา-เพื่ออนาคตทางธุรกิจที่ดี
นายประยุทธ มหากิจศิริ ประธานกรรมการ บริษัท ไทยน๊อคซ์ สเตนเลส จำกัด
(มหาชน) (INOX) เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่าจากกรณีที่กลุ่มมหากิจศิริได้ขายหุ้น
INOX ในสัดส่วน 10% ให้กับ POSCO ราคาหุ้นละ 1.67 บาท และยังถืออยู่ในสัดส่วนที่เหลือ
โดยเหลืออยู่ 55.68% ทั้งนี้การขายหุ้นดังกล่าวไม่มีนัยสำคัญ เนื่องจากเป็นการลงทุนธรรมดา
รวมทั้งเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ ซึ่งได้ผู้ถือหุ้นใหม่ที่มีศักยภาพในการขยายธุรกิจให้เติบโต
และเข้มแข็งต่อไปในอนาคตได้

big lot 800 ล้านหุ้น จะเป็นของ คุณประยทธ หรือป่าวนะ