May 20, 2024   5:26:00 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > เจาะกระดานหุ้น
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 31/01/2007 @ 08:18:48
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

*บอกตามตรงว่า โมนิก้า รู้สึกเซ้งในอารมณ์เป็นอย่างที่เห็นการผ่อนปรนมาตรการต่างๆ ของ ธปท. เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ผ่านพ้นไปวันๆ โดยที่ไม่มีอะไรดีขึ้นเป็นรูปธรรมเลยสักชิ้น หลังการปรนปรนดังกล่าวดันสร้างความหนักใจให้กับบริษัทที่ไม่รู้อิดหนอิเหน่เต็มๆ

*ยิ่งเห็นคนใน ธปท. ทำหน้าตาแป้นแล่นเล่อหลากับมาตรการดังกล่าว รวมทั้งออกมาสนับสนุนว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ช่วยแบกเบาภาระแก่ทุกฝ่าย ยิ่งทำให้เดี๊ยนรู้สึกสังเวชใจในความไร้เดี้ยงของคน ธปท. มากขึ้นทุกที หลังเห็นกันจะจะว่า ผลกระทบดังกล่าวร้ายแรงเกินจะพรรณาได้

*ด้วยเหตุนี้กระมั่งที่ทำให้นักลงทุนสถาบันเทขายหุ้นบลูชิพออกมาตลอดทั้งวัน แต่โชคดีที่มีแรงซื้อเข้ามารับหุ้นดังกล่าวเช่นกัน ก็เลยทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงเพียงเล็กน้อย แต่หากสังเกตุให้ดีจะพบว่าการดีดตัวขึ้นในครั้งนี้ไม่ได้ทำให้สัญญาณทางเทคนิคดูดีขึ้นแต่อย่างใดนะจะบอกให้

*เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นยามนี้เกี่ยวข้องกับความเชื่อมั่นล้วนๆ และหากนักลงทุนสถาบันยังขาดความเชื่อมั่นในการลงทุนก็เท่ากับปิดกั้นโอกาสที่ดัชนีจะทะยานขึ้นไปสร้างแนวรับใหม่ที่สูงกว่าเดิมอย่างไม่ต้องสงสัยพะยะค่ะ

*ยามนี้ถึงเห็นนักลงทุนกลุ่มต่างๆ สวมวิญญาณนักเก็งกำไรกันอย่างถ้วนหน้า เพราะเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมที่สุดในภาวะการลงทุนผันผวนเช่นนี้ และเดี๊ยนขอยกมือสนับสนุนอย่างเต็มที่ หากคุณท่านหลานเธอจะยึดแนวทางการลงทุนแบบเข้าเร็ว ออกเร็วหรือจะเล่นแบบตีหัวเข้าบ้านก็ได้นะค่ะ

*สำหรับเหตุผลที่ทำให้เดี๊ยนต้องกลับลำ 180 องศา และหันมาชักชวนให้นักลงทุนเล่นหุ้นในลักษณะเก็งกำไร เพราะยามนี้หุ้นกลุ่มบลูชิพโดนถล่มเทขายอย่างหนักไม่เว้นแต่ละวันและวานนี้เป็นคิวของ PTT ซึ่งจู่ๆ ก็มีมือดีที่ไหนไม่ทราบเทขายหุ้นออกมาล็อตเดียว 1ล้านหุ้น จนราคาหุ้นรูดไถลลงมาปิดที่ 198 บาท ลบไป 4 บาท อย่างน่าอนาถใจ...เพราะการที่หุ้นหลุดแนวรับ 200 บาทลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เทรนด์ของหุ้นเสียฟอร์มในทันที

*เช่นเดียวกับในรายของ TOP ราคาหุ้นรูดลงมาปิดที่ 57 บาท ลบไป 1.50 บาทมองจากมุมไหนด้านไหนก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดจากราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มอ่อนตัวลงอีกเรื่อยๆ บรรดากองทุนทั้งน้อยใหญ่ถึงเทขายหุ้นออกมาไม่ขาดสาย จนเทรนด์ของหุ้นกลายเป็นขาลงอย่างบูรณการไปแล้วนะค่ะ

*ตรงกันข้ามกับในรายของ ATC รับผลดีจากราคาน้ำมันปรับตัวลดลงเต็มๆ เพราะลูกค้าหันมาสั่งซื้อวัตถุดิบเพิ่มมากขึ้น ก็เลยทำให้ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอีกนะจะบอกให้...และการที่หุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 39.25 บาท บวกไป 0.75 บาท พร้อมด้วยวอลุ่มที่หนาแน่น ถือเป็นเรื่องที่มีการรับรู้อย่างกว้างขวางนะค่ะ

*เนื่องจากเดี๊ยนเคยแนะนำให้บรรดาแฟนพันธุ์แท้ ข่าวหุ้น ให้เข้าซื้อมาตั้งแต่ตอนที่ราคาหุ้นลงมายืนแถว 34 บาทต้นๆ แล้วนั่นเอง หากคุณๆ เชื่อตามคำแนะนำของเดี๊ยนก็คงนอนตีพุงรับทรัพย์กันอย่างสบายใจเฉิบ ส่วนคนที่เพิ่งเข้ามาไล่ซื้อหุ้นทีหลัง คงต้องไปนั่งลุ้น นอนลุ้น และตะแคงลุ้นกันอีกพักใหญ่ๆ นะค่ะ

*ส่วนหุ้นแบงก์ที่กลับมาเฉิดฉายในคราวนี้ มองจากมุมของกูรูกสำนักต่างๆ เขาว่ากันว่าเป็นเพียงการรีบาวนด์ธรรมดาๆ ซึ่งไม่มีนัยสำคัญอะไรทั้งสิ้น ตัวดิฉันเองได้ยินข่าวมาในลักษณะนี้ ก็เลยนำมาถ่ายทอดอีกทีท่ เพื่อให้ทุกคนรับทราบกันอย่างทั่วถึง

*โดยเฉพาะในรายของ BBL เด้งขึ้นมาปิดที่บริเวณ 109 บาท บวกไป 2 บาทพร้อมด้วยวอลุ่มที่หนาแน่นปานกลาง ต้องบอกว่าเป็นฐานเก่าครั้งก่อนของราคาหุ้นตัวนี้ก่อนจะกระชากขึ้นไปสร้างแนวรับใหม่บริเวณ 118 บาท โมนิก้า ถึงมองเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องของการฉกชิงโอกาสของพวกขาประจำมากกว่าเรื่องปัจจัยพื้นฐานพะยะค่ะ

*คงต้องบอกว่าวานนี้ได้ทีหุ้นเก็งกำไรโผล่กันหน้าสลอนเลยงานนี้ แถมโผล่มาช่วงหลังบ่ายซะด้วย คงไมพ้นฉุดให้รายย่อยสนใจเข้ามารวมวงด้วย โดยจะขอเริ่มที่ CSP-W1หลังจากที่หายไปนาน วันดีคืนดี เจ้ามือก็ปลุกขึ้นมาซะอย่างนั้น ก็เป็นไปตามที่ โมนิก้าเคยคาดการณ์กันไว้ว่า หุ้นตัวนี้จะต้องมีการทุบก่อน ซึ่งตอนนั้นก็เคยบอกไว้ว่าให้จับตาวอร์แรนต์ตัวนี้ให้ดี เพราะรอวันกระชาก

*วันนี้มีสิทธิไปได้ต่ออีกตามโมเมตัม ที่ผลักมาจากวานนี้ ซึ่งคงต้องระวังให้ดีนะคะเพราะมีคนที่ติดอยู่ที่ระดับ 1.50 บาท พอสมควร ซึ่งถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรงอะไร เจ้ามือคงจะดันหุ้นตัวนี้ให้ผ่านแนวต้านไปอย่างสวัสดิภาพ แต่ถ้าเกิดไม่ผ่านก็คงต้องตัวใครตัวเผือกกันแล้วละคะ ราคาหุ้นปิดที่ 1.44 บาท บวกไป 0.29 บาท

*หุ้นเก็งกำไรที่ตามมาติดๆ อย่าง ASL คงเป็นฝีมือของบรรดา มือซ้าย มือขวา ที่เป็นพันธมิตร หรือถ้าจะเรียกให้ชัดคงต้องใช้คำว่า นอมินี ที่เจ้าของเสี่ยไมค์ (ภิรมพร)ใช้เป็นร่างทรงอยู่ ก็ได้ฤกษ์ที่จะดันหุ้นอีกครั้ง ส่วนเหตุผลนะหรอ ให้เดี๊ยนทายนะคะว่าต้องเป็นข่าวผลการดำเนินขาดทุนของปี 2549 อย่างแน่นอน เพราะข่าวแบบนี้จะช่วยดันหุ้นให้บริษัทขึ้นได้อย่างไม่ต้องสงสัย (555) ส่วนจะขาดทุนเท่าไหร่นั้น คงต้องไปถามเสี่ยไมค์ กันเอาเองคะ

*สำหรับอีกเหตุผลหนึ่งที่มาไล่หุ้นตัวนี้เพราะบรรดาพันธมิตรของเสี่ยแก ที่รู้อยู่แล้วว่าอยู่เฉยไม่ค่อยได้ หลังจากที่ทุบหุ้น EVER ไปพักใหญ่แล้ว เลยไม่มีอะไรทำต้องมาถอนทุนกับASL

*ส่วนใครที่ดันไปหลงเชื่อว่าเสี่ยไม่ได้ทุบหุ้น EVER จริง คงต้องระวังให้ดีนะคะ เพราะอย่างที่บอกแหละคะว่าถ้าบอกว่าตัวเองทุบหุ้น ก็ต้องโดนตลาดเล่นงานนะซิคะ ของแบบนี้ใครโง่จะบอก ก็คงจะมีแต่คนโง่เท่านั้นที่เชื่อว่าเป็นจริง เห็นแบบนี้แล้วเศร้าใจเจ้าคะ ราคาหุ้น ASL ปิดที่ 7.70 บาท บวกไป 0.75 บาท ส่วน EVER ปิดที่ 3.16 บาท เสมอตัวคะ


.00020



[/color:7b89107b01">

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 31/01/2007 @ 09:05:15 : re: เจาะกระดานหุ้น
ต่างชาติเริ่มเทขายหุ้นแล้ว หลังซื้อสุทธิมาต่อเนื่อง นักวิเคราะห์ชี้แนวโน้มดัชนีฯโอกาสซึมต่อ เหตุไร้ปัจจัยใหม่ๆหนุน ด้านนักลงทุนญี่ปุ่นมองความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยต่ำสุดใน 5 ชาติอาเซียน

ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหลักทรัพย์ฯว่า บรรยากาศการลงทุน วานนี้ (30 ม.ค.) ดัชนียังคงแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ ระหว่าง 650-655 จุด เนื่องจากตลาดขาดปัจจัยบวกกระตุ้น ขณะที่นักลงทุนบางส่วนชะลอการลงทุนออกไป เพื่อรอดูผลการประชุมเรื่องการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 31 มกราคมนี้ โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มขายสุทธิออกมาแล้ว ส่งผลทำให้ดัชนีแกว่งตัวก่อนมาปิดที่ระดับ 653.49 จุด ลดลง 0.43 จุด มูลค่าการซื้อขาย 11,612.68 ล้านบาท ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 730.07 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 223.22ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 953.29 ล้านบาท

นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัท หลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา จำกัด ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้น (31 ม.ค.) คาดว่า จะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ โดยปัจจัยที่ต้องติดตามเป็นเรื่องของรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจของปี 49 ที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทยจะทำการประกาศออกมา รวมทั้งผลการประชุม ?เฟด? ที่หลายฝ่ายคาดว่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เดิม 5.25% โดยจะทราบผลเช้าวันที่ 1 ก.พ. ส่วนนักลงทุนต่างชาติ คาดว่านักลงทุนจะชะลอซื้อขายลง โดยประเมินแนวรับที่ 650 จุด ส่วน
แนวต้านจะอยู่ที่ 656 จุด

นักลงทุนญี่ปุ่นชี้เชื่อมั่นไทยต่ำสุด
นายโยชิอิ คาโตะ ประธานคณะกรรมการวิจัยทางเศรษฐกิจ หอการค้าญี่ปุ่น กรุงเทพฯ (เจซีซี) และประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (เจโทร) ในไทย แถลงผลสำรวจของเจโทรเกี่ยวกับดัชนีแนวโน้มเศรษฐกิจหรือค่าดีไอใน 5 ชาติอาเซียน คือ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์และไทย ประจำเดือนมกราคม พบว่าประเทศไทยมีค่าดีไอต่ำที่สุด อยู่ที่ระดับ- 12.9 ขณะที่สิงคโปร์มีค่าดีไออยู่ที่ + 13.1 ดีที่สุดใน 5 ชาติอาเซียน รองลงมาคืออินโดนีเซีย +4.6 ฟิลิปปินส์ ?4.3 และมาเลเซีย ?4.6 โดยตัวเลขประเทศไทยตกต่ำต่อเนื่องมานานถึง 9 เดือน หากเปรียบเทียบกับผลสำรวจเมื่อ 6 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งค่าดีไอของไทยแย่ลงจากเดิมที่มีตัวเลขอยู่ในระดับเดียวกับฟิลิปปินส์และมาเลเซีย แต่ดีกว่าอินโดนีเซีย แต่พบว่าขณะนี้ไทยกลับแย่กว่าทุกประเทศรวมทั้งอินโดนีเซีย

สำหรับผลสำรวจค่าดีไอในครึ่งแรกปี 2550 ของไทย ตัวเลขอยู่ในระดับที่ไม่ดีนัก โดยค่าดีไอมีค่าประมาณการอยู่ที่ระดับ 23 แต่ถือว่าดีกว่าการสำรวจเมื่อครึ่งหลังของปีที่แล้วที่มีอยู่เพียงระดับ 9 แต่หากเทียบกับครึ่งแรกของปีที่แล้ว ผลสำรวจยังต่ำกว่า เพราะค่าดีไอในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 25 สรุปแล้วค่าดีไอของไทยในช่วง 2 ปี ต่ำสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา โดยจากผลสำรวจในช่วงครึ่งแรกของปี 2550 พบว่า บริษัทที่ตอบว่า สภาพธุรกิจดีขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 41 ซึ่งอยู่ในระดับคงที่เมื่อเทียบกับระยะก่อนหน้านี้ ขณะที่บริษัทที่ตอบว่า สภาพธุรกิจแย่ลงมีร้อยละ 18 ลดลง 14 หน่วยเมื่อเทียบกับระยะก่อนหน้า ทำให้ค่าประมาณการสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมแต่ละประเภทในอุตสาหกรามการผลิต พบว่าอุตสาหกรรมอาหารปรับตัวในทิศทางแย่ลง ขณะที่การปรับตัวในทิศทางดีขึ้นมีเกือบทุกอุตสาหกรรมการผลิตประเภทอื่น ๆ ส่งผลให้ค่าดีไอประมาณการของอุตสาหกรรมการผลิตดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ค่าดีไอดังกล่าวยังไม่รวมผลกระทบเหตุการณ์ระเบิดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2549 และมาตรการกันสำรองของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาท การแก้ไข พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวและ พ.ร.บ.ค้าปลีกค้าส่ง ซึ่งอาจจะยังไม่มีผลกระทบต่อการย้ายการลงทุนจากไทยทันที แต่ส่งผลต่อความมั่นใจการลงทุนในประเทศไทย เพราะนักลงทุนญี่ปุ่นจะเลือกลงทุนในประเทศที่อำนวยความสะดวกด้านการส่งออก

?สิ่งที่นักลงทุนกังวลมากที่สุดคือ ค่าเงินบาทที่แข็งค่ารวดเร็ว โดยล่าสุดแข็งค่าอยู่ที่ระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่หารือกันว่า หากค่าเงินบาทแข็งค่าไปถึง 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ บริษัทแม่ในประเทศญี่ปุ่นจะยกเป็นประเด็นพิจารณาเร่งด่วนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแผนการลงทุน ซึ่งจะมีการโยกย้ายการลงทุนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท อย่างไรก็ตามจากผลสำรวจของธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่นหรือเจบิค พบว่า ผลสำรวจในปี 2549 ประเทศที่น่าลงทุนมากที่สุด คือ จีน รองลงมาคือ อินเดีย เวียดนามและไทย ทำให้ประเทศไทยน่าสนใจในการลงทุนน้อยลง จากก่อนหน้านี้ไทยมีความน่าสนใจลงทุนมากกว่าเวียดนามและตัวเลขการลงทุนโดยตรงของเวียดนามปีที่แล้วอยู่ที่ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าไทยที่มีประมาณ 8,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ? ประธานเจโทรกล่าว.


.00020
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com