May 14, 2024   7:10:48 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ****** สัญญาณหุ้นค่ะ *******
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 31/01/2007 @ 08:59:19
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บล.โกลเบล็กแนะนำซื้อ RCLราคาเป้าหมาย 24.00 บาทRCL รายงานปริมาณขนส่ง 4Q49 อยู่ที่ 643,600 TEUs เพิ่มขึ้น 21.8% YoY ส่วนทั้งปี 49อยู่ที่ 2,472,693 TEUs เพิ่มขึ้น 11.7% ซึ่งสูงกว่าที่คาดไว้เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เราคาดว่า Freight Rate ใน 4Q49 จะปรับตัวลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ 3Q49 เนื่องจากการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่สูงขึ้น โดยทั้งปี 49 เราคาดว่า Average Freight Rate จะอยู่ที่ระดับ 215 US$/TEU ลดลงประมาณ 10.4% เมื่อเทียบกับปี 48 เราคาดการณ์ว่าผลประกอบการใน 4Q49 RCL จะมีกำไรปกติที่ 474 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% QoQ แต่ลดลง 16% YoY เนื่องจากปริมาณขนส่งที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ปี 49 กำไรก่อนรายการพิเศษอยู่ที่ 2,100 ล้านบาท ลดลง 56% เมื่อเทียบกับปี 48 แต่หากรวมกำไรจากรายการพิเศษที่ RCL ยังมีการบันทึกกลับบัญชีรายการขาดทุนจากการด้อยค่าของที่ดินและอาคารในประเทศสิงคโปร์ และฮ่องกง มูลค่ารวม 200 ล้านบาท รวมทั้งค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นที่ส่งผลให้รายได้ลดลง แต่จะได้รับชดเชยจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนราว 450 ล้านบาท โดยเราคาดว่า RCL จะมีกำไรสุทธิปี 49 รวมราว 2,745 ล้านบาทลดลง 43 % เมื่อเทียบกับปี 48 เราคาดว่า Average Freight Rate ในปี 50 จะสามารถยืนอยู่ที่ระดับ 215 US$/TEU ซึ่งใกล้เคียงกับปี 49 ได้ แม้ในอุตสาหกรรมเรือขนส่งคอนเทนเนอร์จะมีการแข่งขันที่มากขึ้น แต่ปริมาณการขนส่งก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะประเทศจีนและอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีการบริโภคสูง โดยเราประเมินว่าปริมาณขนส่งในปี 50 จะเพิ่มขึ้นราว 11% เมื่อเทียบกับปี 49 แม้ผลประกอบการในปี 49 จะปรับตัวลดลงมาก โดยเราคาดว่าจะลดลงถึง 43% เมื่อเทียบกับปี 48 อย่างไรก็ตาม ในปี50 เราคาดว่า RCL จะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติเพิ่มขึ้น 16% ทั้งนี้ยังไม่รวมกำไรพิเศษ


บล.ยูไนเต็ดแนะนำซื้อ GLOWราคาเป้าหมาย 34.00 บาทGLOW ผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีความเชี่ยวชาญทั้งในโรงไฟฟ้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 4Q49 อยู่ที่ 1,244 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนที่ 1,234 ล้านบาทแต่ปรับตัวสูงขึ้น 44%YoY เป็นผลจากรายได้จากการขายไฟฟ้าและไอน้ำเพิ่มขึ้น 54%YoYเนื่องจากไม่มีการหยุดซ่อมโรงไฟฟ้าครั้งใหญ่ในไตรมาสนี้ ทำให้สามารถเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าได้เต็มที่ และยังมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 210 ล้านบาท จากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นราว 1.4 บาท/ดอลลาร์ เราได้ปรับกำไรสุทธิปี 49 เพิ่มขึ้น 13% เป็น 5,394ล้านบาท จากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ส่งผลให้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) เพิ่มขึ้น แต่ปรับประมาณการกำไรปกติ (ไม่รวม FX) ในปี 49-50 ลดลงเป็น 4,477 และ 4,498ล้านบาท ตามลำดับ โดยในปี 50 ยังคงไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าครั้งใหญ่ แต่โรงไฟฟ้า IPP จะทำการหยุดซ่อมใหญ่อีกครั้งในช่วงปลายปี 51 รวมทั้งไม่มีกำลังผลิตใหม่เพิ่มเข้ามา แม้ปริมาณขายปี 50 จะเพิ่มขึ้น 40 MW (สำหรับ VNT) แต่กำไรจะไม่เพิ่มขึ้นเนื่องจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นจะถูกชดเชยด้วยต้นทุนผลิตส่วนเพิ่มที่สูงขึ้น สำหรับสาเหตุที่ GLOWยังคงผลิตอยู่ เพื่อต้องการรักษาลูกค้าใหม่สำหรับทดแทนลูกค้าเดิมกลุ่ม PTT (PTTCH/ATC)ที่คาดว่าจะไม่ต่ออายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งจะสิ้นสุดลงในปี 53 กับบริษัท คาดจ่ายปันผล 2H49 ~1 บาท/หุ้น (Dividend Yield ที่ 3%) อีกทั้งจ่ายปันผลสม่ำเสมอขั้นต่ำ 1.50 บาท/หุ้น ในช่วงที่ผลประกอบการปี 50-51 จะทรงตัว แต่กำไรมีโอกาสเติบโตในระยะยาว นอกจากนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบจากการแก้ไขกฎหมายประกอบธุรกิจของคนต่างชาติ เนื่องจากบริษัทอยู่ภายใต้กฎหมายธุรกิจไฟฟ้าที่เปิดให้ชาวต่างประเทศสามารถถือหุ้นได้ 100%


บล.กิมเอ็งแนะนำซื้อ SAMARTราคาเป้าหมาย 10.60 บาทเนื่องจากการเติบโตอย่างน่าประทับใจของธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ รวมถึงการเติบโตต่อเนื่องของธุรกิจศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศในกัมพูชา อีกทั้งธุรกิจบริการ callcenter แต่ในทางกลับกันมีการจำหน่ายเงินลงทุนและธุรกิจบางส่วนออกไปเมื่อต้นปีที่แล้ว ทำให้เราคาดว่ากำไรปกติของ SAMART จะปรับตัวขึ้น 7% จากปีก่อนหน้าเป็น 566 ล้านบาทหรือ 0.59 บาท/หุ้นในปี 2549 หากรวมกำไรพิเศษ 1.3 พันล้านบาทจากการจำหน่ายเงินลงทุนและกำไรพิเศษอื่นๆ ทำให้ประมาณการกำไรสุทธิเป็น 1.96 พันล้านบาท เราคาดว่ารายได้ของ SAMART ในไตรมาส 4/49 จะปรับตัวขึ้น 33% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า (yoy) เป็น 6.6 พันล้านบาทด้วยสาเหตุหลักจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของSIM อีกทั้งการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของธุรกิจศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศในกัมพูชาอีกทั้งธุรกิจระบบกล้องเพื่อการรักษาความปลอดภัย อย่างไรก็ดี คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะตกลง 19.2% ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าเป็น 13.7% ในไตรมาส 4/49 เนื่องจากการเพิ่มสัดส่วนรายได้ของธุรกิจจำหน่ายเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการเติบโตจากการขายส่งในต่างประเทศ ซึ่งให้อัตรากำไรที่ต่ำที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจอื่นในกลุ่ม จากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของธุรกิจจำหน่ายเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ อีกทั้งการเติบโตต่อเนื่องของธุรกิจ call center และธุรกิจศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศในกัมพูชา เราประมาณการว่ารายได้ปีนี้จะขยายตัวถึง 59% เป็น 2.9 หมื่นล้านบาทในปีนี้

ธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของ SIM (ถือหุ้น 55.7% โดย SAMART) มีแนวโน้มเติบโตดีเร็วว่าที่เราเคยคาดไว้ โดยเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในตลาดต่างประเทศ อีกทั้งการได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของเครื่องยี่ห้อไอโมบาย


บล.เอเซีย พลัสแนะนำซื้อ MAJORราคาเป้าหมาย 18.00 บาทในงวด 4Q49 แม้จะเป็นช่วง High Season แต่ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทำให้ไม่มีภาพยนตร์เรื่องใดที่ทำรายได้สูงเกิน 100 ล้านบาท แต่มีรายได้สูงเกิน 50 ล้านบาท เพียง 3 เรื่องเท่านั้น คือ แสบสนิทศิษย์ส่ายหน้า 007 คาสิโนรอยอลและเอรากอน ขณะที่ธุรกิจโบว์ลิ่งและคาราโอเกะคาดว่าจะทรงจากไตรมาสก่อน ดังนั้นเราจึงคาดว่ารายได้จากการขายและบริการของ MAJOR ในงวด 4Q49 จะลดลง 1.67%qoqและบริษัทยังมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่สูงขึ้นจากการเปิดสาขาใหม่เอสพลานาดรัชดาแต่รายได้จากสาขาดังกล่าวยังเข้ามาน้อยเนื่องจากเริ่มเปิดไปได้ 15 วัน ส่งผลให้คาดว่าSG&A/Sales จะขยับขึ้นจาก 21.2% ในงวด 3Q49 เป็น 24% นอกจากนี้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม SF คาดว่าจะลดลงเกิน 50% เนื่องจากงวด 3Q49 ได้รับรู้ค่าเซ้งพื้นที่เต็มจำนวนไปเกือบหมดแล้ว ดังนั้นเราจึงประเมินว่า MAJOR จะมีกำไรสุทธิงวด 4Q49 เท่ากับ120 ล้านบาท ลดลง 36.7% qoq และ 8% yoy และเมื่อรวมกำไรดังกล่าวกับกำไรสุทธิงวด 9M49 จะทำให้ MAJOR มีกำไรสุทธิปี 2549 เท่ากับ 698 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.6% yoy แต่ยังต่ำกว่าประมาณการของฝ่ายวิจัยราว 47 ล้านบาท ส่งผลให้เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2549 ลง 6.6%แม้ช่วงต้นปี 2550 ธุรกิจโรงภาพยนตร์จะซบเซาจากเหตุการณ์ระเบิด แต่ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องนเรศวรช่วยพลิกสถานการณ์ จากการฉาย 11 วันแรก สามารถทำเงินได้ถึง 280 ล้านบาท และในเดือน ก.พ. นี้ จะมีภาพยนตร์นเรศวรภาค 2 และ บอดี้การ์ดหน้าเหลื่ยม 2 เข้าฉาย ส่งผลให้คาดว่า MAJOR จะมีผลการดำเนินงานงวด 1Q50 เติบโตอย่างโดดเด่น นอกจากนี้ในช่วงที่เหลือของปีนี้จะมีภาพยนตร์ต่างประเทศฟอร์มยักษ์เข้าฉายอีกหลายเรื่อง อาทิ Spiderman 3 The Pirate ofCarrebean 3 และ Harry Potter V รวมทั้ง นเรศวรภาค 3 ผลักดันการเติบโตปี 2550 ส่งผลให้เราคงใช้ประมาณ Norm Profit ปี 2550 เท่าเดิม คือ 744 ล้านบาท หรือเติบโต 25.8%






[/size:2eb1ea7ccc">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com