May 20, 2024   5:01:39 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > กระซิบหน้าจอ
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 01/02/2007 @ 13:09:21
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

SET Index
วันพุธที่ 31 ม.ค. ปิดที่ 654.04 จุด +0.55 จุด มูลค่าการซื้อขาย 8,283 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิที่ 620.39 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิที่ 313.23 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิที่ 307.16 ล้านบาท SET Index ทำ High ที่ดัชนี 656.78 จุด +3.29 จุด และ Low ที่ดัชนี 652.94 จุด -0.55 จุด เอ้า..ราคาน้ำมันดีดแล้วพลพรรคหุ้นกลุ่มน้ำมันเลยขึ้นกันถ้วนหน้าหลังราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวขึ้น 2.96 US/บาเรลล์ เลยทำให้ Movement ของตลาดหุ้นไทยดูสดใสตั้งแต่ก่อนเปิดทำการซื้อขายบวกกับการปรับขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐ หุ้นเล็กยังคงวิ่งเป็นสีสันเป็นหุ้นเก็งกำไรตัวเดิม ๆ ที่พักความร้อนแรงมาซักพักแล้วอย่าง PSAP-DE-PRO-SAT รวมทั้งหุ้นที่มีประเด็นข่าวเป็นบวก SATTEL ก็วิ่งขึ้นแรง แต่ในระหว่างวันเพื่อนบ้านข้างเคียงในแถบภูมิภาคส่วนใหญ่อ่อนตัวลงทำให้ตลาดบ้านเรามีเซลงไปลบบ้างเหมือนกันในการซื้อขายภาคบ่าย ซึ่งบรรยากาศโดยรวม ๆ แล้วเหมือนขายผ้าเอาหน้ารอดไปอีกวัน ไม่เงียบนักแต่ก็ดูเหมือนจะครื้นเครงไม่เท่าไหร่ โดยมูลค่าการซื้อขายรวมของตลาดปิดไปไม่ถึง 1 หมื่นล้านบาท นักลงทุนคงรอลุ้นผลประชุมของเฟดในเรื่องทิศทางอัตราดอกเบี้ยอยู่ก็เป็นได้

SSI
ราคาเปิด 1.05 บาท ราคาปิด 1.04 บาท มูลค่าการซื้อขาย 14.54 ล้านบาท SSI ได้ประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส 4/2549 มีกำไรสุทธิเท่ากับ 452 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 30% แต่ดีขึ้นจากปีก่อน สาเหตุที่ทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิลดลง เนื่องจากภาวะการชะลอตัวอย่างมากของความต้องการเหล็กรีดร้อนในไตรมาส 4/49 ส่วนภาระหนี้รวมลดลง 9%qoq จากสถานการณ์ราคาเหล็กรีดร้อนของโลก ได้ปรับตัวสูงขึ้นจากสิ้นปี โดยเพาะในจีนปรับเพิ่มขึ้น 6% เนื่องจากเศรฐกิจปีนี้ยังขยายตัวสูงขึ้น ช่วยหนุนความต้องการเหล็กในจีนให้ขยายตัวเพิ่มขึ้น ดังนั้นการที่ราคาเหล็กรีดร้อนชนิดม้วนได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น จะส่งผลดีต่อ SSI เนื่องจาก SSI ยังมีสต็อกเก่าที่ราคาต่ำกว่าปัจจุบันประมาณ 6 เดือนเศษ ซึ่งจะช่วยให้ผลประกอบการในไตรมาส 1/50 ปรับตัวดีขึ้น K.KRAZIP แนะนำ ทยอยสะสม แต่ต้องระมัดระวังในการลงทุน เนื่องจากผลประกอบการของ SSI ขึ้นอยู่กับความไม่แน่นอนของราคาเหล็ก โดยมีแนวรับ 1.03 บาท แนวต้าน 1.10 บาท

BLS
ราคาเปิด 11.20 บาท ราคาปิด 11 บาท มูลค่าการซื้อขาย 5.48 ล้านบาท ในปี 2549 มีกำไรสุทธิ 232.66 ล้านบาท คิดเป็น 70.4% จากกำไรสุทธิในปี 2548 เท่ากับ 136.51 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ เพิ่มขึ้น 38.05 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.78 % และรายได้ค่านายหน้าจากธุรกิจอนุพันธ์ก็เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นไปตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์โดยรวมของบริษัท และการเพิ่มขึ้นของมูลค่าการซื้อขายในส่วนของนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศ และต่างประเทศ BLSเริ่มดำเนินธุรกิจอนุพันธ์ตั้งแต่เดือนเมษายน2549 ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 9.75% นอกจากนี้ BLSยังได้รับเงินปันผลที่มากขึ้นจากการลงทุนในหลักทรัพย์ เมื่อเทียบกับเงินปันผลที่ได้รับในงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมาดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่ม ขึ้น 20.43 ล้านบาท ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ ซื้อเก็งกำไร แนวรับ 11 บาท แนวต้าน 12.20 บาท

SCB
ราคาเปิด ? ปิด 59.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 180.39 ล้านบาท ผู้บริหารSCB คาดว่าในช่วงวันที่ 15-19 ก.พ 2550 จะพิจารณาวการปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากระยะสั้นได้หรือไม่ หลังจากที่ได้ปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากระยะยาวไปแล้วก่อนหน้านี้ และมีความเป็นไปได้ที่จะปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ไปพร้อมกัน เพราะ SCBมีสัดส่วนเงินฝากระยะสั้นสูงถึง 70% หากปรับลดลงได้จะช่วยให้ต้นทุนลดลงมากพอสมควร และ นโยบายของ SCBในระยะยาวต้องการจะเพิ่มสัดส่วนเงินฝากระยะสั้น ให้มากขึ้นจากปัจจุบันที่ธนาคารมีสัดส่วนเงินฝากระยะสั้นอยู่ที่ 70% ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าธนาคารพาณิชย์อื่น อยู่ที่ 45-50% เพราะจะทำให้ธนาคารมีต้นทุนที่ถูกลงมากกว่าธนาคารแห่งอื่นและเมื่อต้นทุนถูกลงก็สามารถลดดอกเบี้ยเงินกู้ได้ ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ ทยอยซื้อ แนวรับ 59 บาท แนวต้าน 61 บาท

RATCH
ราคาเปิด - ปิด 43.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 18.880 ล้านบาท ประกาศผลการดำเนินงานปี49 กำไร6,106ล้านบาท เติบโต1%YoY สืบเนื่องจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมาก จากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้น 30%YoY ซึ่งบริษัทมีการตั้งสำรองมูลค่าความเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้บริเวณเครื่องดักจับก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนเครื่องที่ 1 เมื่อ 4Q06ที่ยังอยู่ระหว่างการเจรจาขอรับเงินชดเชยจากบริษัทประกันภัยจำนวน 750 ล้านบาท และดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น 19%YoY ขณะที่รายได้ค่าบริการเพิ่มขึ้น 410% ดอกเบี้ยรับเพิ่มขึ้น97% และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทไตรเอนเนอจี้(TECO) เพิ่มขึ้น96% จากปี48 สำหรับกำไรสุทธิ 4Q49 อยู่ที่ 918 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 58%YoY แต่ลดลง 49%QoQ เป็นผลจากมีการตั้งสำรองค่าเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าวใน 4Q49 และรายได้ค่าขายไฟฟ้าลดลง QoQ ตามความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ลดลงตามฤดูกาล ด้านการประมูลโรงไฟฟ้า IPP ใหม่ที่จะเปิดประมูลในเม.ย.นี้ เชื่อว่า RATCH จะเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีโอกาสสูงที่จะชนะการประมูล K.KRAZIP แนะนำ ซื้อเมื่ออ่อนตัว แนวรับ 43 บาท แนวต้าน 45 บาท

ที่มา ทันหุ้น[/color:7fb3ee8e22">[/size:7fb3ee8e22">
.0008 .0008

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com