April 30, 2024   10:16:08 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > อวสานค่าโง่ทางด่วน CK สุดช้ำ
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 15/02/2007 @ 22:40:54
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

CK เศร้า ชวดเงินค่าโง่ทางด่วน 6.2 พันล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปีจาก กทพ. หลังศาลฎีกาพิพากษา กทพ.ไม่ต้องจ่ายเงิน ฉุดราคาหุ้นทรุดฮวบกว่า 6% ลากหุ้นรับเหมาฯ เกือบทั้งกลุ่มดิ่งตาม แต่ผู้บริหารยังไม่ยอมแพ้ ระบุ จะหาแนวทางเรียกร้องค่าชดเชยคืนให้ได้ แม้ศาลพลิกคำตัดสิน ขณะที่วงการ ฟันธง หลังพลาดเงินค่าโง่อาจทำผลประกอบการปีนี้ พลิกเป็นขาดทุน 2.04 พันลบ. แต่ส่วนใหญ่เชื่อพื้นฐานโดยรวมยังดี งานในมือยังมีเพียบ แถมมีลุ้นโครงการรถไฟฟ้าอีกต่างหาก ยังคงแนะนำซื้อ เพราะยังถือเป็นผู้รับเหมาที่มีความสามารถทำกำไรดีที่สุดในกลุ่ม

ในที่สุดคดีค่าโง่ทางด่วนระหว่างกิจการร่วมค้าบีบีซีดี ซึ่งมี บมจ.ช.การช่าง เป็นผู้ถือหุ้น 30% รวมไปถึงบริษัท บิลฟิงเกอร์ พลัส เบอร์เกอร์ บาวอัคเตียน เกเซลซาฟท์ และ ดิคเคอร์ฮอฟฟ์ แอนด์ วิดแมนน์ เอจี กับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) โดยที่บีบีซีดี เรียกร้องให้กทพ. ต้องจ่ายเงินชดเชยค่าก่อสร้างทางด่วนบางนา-บางพลี-บางปะกง เป็นเงินจำนวน 6,254,979,470.84 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จาก ต้นเงินจำนวน 6,039,893,254 บาท กรณีผิดสัญญาสัมปทานก่อสร้างโดยส่งมอบพื้นที่ล่าช้า เป็นเหตุให้การก่อสร้างไม่ตรงตามกำหนด ก็ได้บทสรุปหลังจากใช้เวลาในชั้นศาลยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี2542 ที่เริ่มมีการดำเนินการฟ้องร้องกัน จนกระทั่งวานนี้ (15 ก.พ.) เวลาประมาณ 10.00 น. ศาลฎีกาก็ได้ขึ้นบัลลังก์พิพากษาไม่ยืนตามคำสั่งศาลแพ่งกรุงเทพใต้ โดย กทพ.ไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยให้ โดยคำสั่งของศาลฎีกาให้ถือเป็นคำตัดสินที่สิ้นสุดของคดีดังกล่าว

ทั้งนี้หากย้อนเหตุการณ์ก่อนหน้า บีบีซีดี ได้ ยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการเมื่อปี 2542 และอนุญาโตตุลาการก็ได้มีคำชี้ขาดเป็นเอกฉันท์ให้กทพ. ต้องชำระเงินให้ บีบีซีดี ตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2542 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่เรียกกันว่าค่าโง่ ของกรณีผิดสัญญาสัมปทานระหว่างภาครัฐและเอกชน ที่ลงเอยด้วยรัฐบาลต้องจ่ายเงินจำนวนมหาศาลให้กับเอกชน แต่จำนวนเงินดังกล่าวในตอนนั้นกับสถานภาพทางการเงินของ กทพ. และโดยหลักปฏิบัติที่ทางการไม่ควรจ่ายเงินดังกล่าว เพราะเท่ากับยอมรับว่าผิดสัญญา อีกทั้งยังเป็นการนำเงินภาษีประชาชนไปจ่ายอีกต่างหาก ทำ กทพ. มีหนังสือแจ้งต่อ บีบีซีดี ว่าไม่สามารถ ปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการได้ ส่งผลให้บีบีซีดียื่นฟ้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพเมื่อปี 2545 เพื่อขอให้ศาลแพ่งกรุงเทพใต้มีคำพิพากษาบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ และศาลแพ่งฯ ก็มีคำพิพากษายืนตามอนุญาโตฯ จนทำให้สถานการณ์ของกทพ. เลวร้ายลงไปอีก

อย่างไรก็ตามในปีถัดไปคือปี 2547 กทพ.ก็ได้ยื่นอุทธรณ์เรื่องดังกล่าวต่อศาลฎีกา และนำมาซึ่งคำตัดสินในวันนี้ว่าทางการไม่ต้องจ่ายเงินให้กับเอกชน ซึ่งทำให้บริษัทร่วมค้ากลายเป็นผู้แพ้ อีกทั้งผลขาดทุนจากการก่อสร้างโครงการดังกล่าวก่อนหน้านี้ ที่เอกชนอ้างว่าได้รับผลกระทบอย่างหนักเพราะการส่งมอบที่ดินที่ล่าช้า ทำให้พวกเขาต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงกว่าเดิม จนนำมาสู่การเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ทำให้ต้องติดตามกันต่อไปว่าจากนี้เอกชนจะเดินแผนอย่างไรต่อไป และน่าติดตามอีกขั้นว่าจากนี้การทำสัญญาก่อสร้างโครงการต่างๆ ระหว่างรัฐบาล กับเอกชนจะมีปัญหาเกิดขึ้นในลักษณะนี้อีกหรือไม่

ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้วเห็นว่าก่อนการลงทุนในสัญญาจ้างเหมาออกแบบก่อสร้างโครงการทางด่วนดังกล่าว มีผู้บริหารกทพ.บางคนได้รับประโยชน์จากฝ่ายผู้ฟ้อง(บีบีซีดี) จึงพิเคราะห์ว่าสัญญาดังกล่าว เกิดจากกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงไม่มีผลผูกพันกทพ. ถ้าศาลบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ย่อมเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน นายชาลี ทัพวิมล ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกา ขึ้นนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาเมื่อเช้าวานนี้

ในขณะที่คดีค่าโง่ทางด่วนเมื่อวานนี้นั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกิดผลกระทบกับตลาดหลักทรัพย์ หรือตลาดหุ้นไทยไม่ใช่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะ CK ที่เกี่ยวข้องโดยตรงเพราะเป็นหนึ่งในกิจการร่วมค้าบีบีซีดี และถือหุ้นถึง 30% อีกทั้งก่อนหน้านี้ CK ก็คาดหวังว่าจะชนะคดีดังกล่าว จนถึงขนาดบันทึกรายรับกรณีได้รับเงินค่าเสียหายจากรัฐบาลไปแล้วตั้งแต่ปี 2544

ดังนั้นเมื่อคดีพลิกออกมาอีกด้านหนึ่ง และถือว่าเป็นการสิ้นสุดเพราะเป็นการพิพากษาของศาลฎีกา จึงทำให้นักลงทุนกังวลและเทขายหุ้น CK ออกมาทันที เพราะการบันทึกรายรับก่อนหน้าต้องเปลี่ยนแปลงไปอีกทางหนึ่ง และการลดลงของหุ้น CK ซึ่งถือเป็นหุ้นหลักในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างก็พลอยฉุดให้หุ้นในกลุ่มนี้ทั้งหมดปรับตัวลดลงตามไปด้วยเช่นกัน และราคาหุ้นทั้งกลุ่มก็ปรับตัวลดลงต่อเนื่องหลังจากคำตัดสินของศาลออกมา จนส่งผลต่อภาพรวมของการซื้อขายไปด้วย แม้ในช่วงก่อนเปิดตลาดฯภาคบ่าย CK จะชี้แจงกับตลาดหลักทรัพย์ว่าบีบีซีดียังมีสิทธิเรียกค่าใช้จ่ายกว่า6 พันลบ.แม้ศาลจะลิกคำตัดสิน ก็ไม่สามารถดึงให้ราคาหุ้น CK และหุ้นรับเหมาฯ ตัวอื่นปรับขึ้นมาได้

โดยหุ้น CK ปิดตลาดวานนี้ ที่ 8.40 บาท ลดลง 0.55 บาท หรือ 6.15% มีมูลค่าการซื้อขาย 849.24 ล้านบาท หุ้น STEC ปิดที่ 5.05 บาท ลดลง 0.35 บาท หรือ 6.48% มูลค่าการซื้อขาย 126.77 ล้านบาท หุ้น ITD อยู่ที่ 5.45 บาท ลดลง 0.15 บาท หรือ 2.68% มูลค่าการซื้อขาย 309.71 ล้านบาท หุ้น ASCON ปิดที่ 12 บาท ลดลง 0.30 บาท หรือ 2.44% มูลค่าการซื้อขาย 14.75 ล้านบาท หุ้น NWR ปิดที่ 0.78 บาท ลดลง 0.03 บาท หรือ 3.70% มูลค่าการซื้อขาย 69.75 ล้านบาท

หุ้น SYNTEC ปิดที่ 1.16 บาท ลดลง 0.02 บาท หรือ 1.69% มูลค่าการซื้อขาย 81.30 ล้านบาท หุ้น PLE ปิดที่ 7.10 บาท ลดลง 0.30 บาท หรือ 4.05% มูลค่าการซื้อขาย 30.23 ล้านบาท และหุ้น KTECH ปิดที่ 1.48 บาท ลดลง 0.04 บาท หรือ 2.63% มูลค่าการซื้อขาย 3.57 ล้านบาท


* CK พร้อมเรียกร้องเงินค่าชดเชย 6.2 พันลบ.อีกรอบ แม้ศาลพลิกคำตัดสิน
นายอนุกูล ตันติมาสน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานทรัพยากรมนุษย์และบริหารทั่วไป บมจ.ช.การช่าง(CK) เปิดเผยว่า ในวันนี้ศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าคำอุทธรณ์ของ กทพ.ฟังขึ้น จึงพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ที่ให้บังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ

แต่อย่างไรก็ตาม ฝ่ายบริหารกำลังอยู่ในระหว่างการศึกษารายละเอียดของคำพิพากษาของศาลฎีกา โดยในเบื้องต้นมีความเห็นว่า การที่ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาชี้ขาดไม่บังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ โดยถือว่าสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างรวมออกแบบระหว่าง การทางพิเศษแห่งประเทศไทย และกิจการร่วมค้า บีบีซีดี ไม่มีผลผูกพันนั้น ไม่ได้ทำให้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมายในเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจำนวน 6,039,893,254 บาท รวมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ดังกล่าวของกิจการร่วมค้า บีบีซีดี เสียไปแต่อย่างใด

ขณะที่ ที่ปรึกษากฎหมายของบริษัท ก็ระบุว่า บริษัทยังมีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยค่าก่อสร้างทางด่วนบางนา-บางพลี-บางปะกง ดังกล่าว พร้อมดอกเบี้ยจากกทพ.เช่นกันแม้ศาลฎีกาจะตัดสินให้แพ้คดีก็ตาม ซึ่งหลังจากนี้บีบีซีดีคงต้องหารือว่าจะสามารถเรียกร้องค่าชดเชยดังกล่าวได้อย่างไร
ก่อนหน้านี้คณะอนุญาโตตุลาการได้มีคำชี้ขาดเป็นเอกฉันท์ให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยชำระเงินให้แก่กิจการร่วมค้า บีบีซีดี เป็นเงินจำนวน 3,371,446,114 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2542 เป็นต้นไป และชำระเงินจำนวน 2,668,447,140 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2543 เป็นต้นไป


.00020

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 15/02/2007 @ 22:42:27 : re: อวสานค่าโง่ทางด่วน CK สุดช้ำ
ซีมิโก้ ชี้ งบQ1/50 ของCK พลิกเป็นขาดทุนหลังชวดได้ค่าโง่
บทวิเคราะห์ บล.ซีมิโก้ ให้ความเห็นว่า การที่บริษัทร่วมค้าแพ้คดี ถือเป็นกรณีที่เลวร้ายที่สุด ซึ่งจะกระทบจิตวิทยาการลงทุนจากการบันทึกกลับรายการรายได้ 2,515.6 ล้านบาท ซึ่งจะพลิกให้บริษัทขาดทุนในไตรมาส 1/50
อย่างไรก็ดี ค่าใช้จ่ายในโครงการดังกล่าวเกิดขึ้นมานานแล้ว และงบการเงินรวมของบริษัท ปัจจุบันมีการรวมสินทรัพย์และหนี้สินของโครงการตามสัดส่วนการถือหุ้น และบริษัทแจ้งว่า อาจจะมีการรับรู้ภาระดอกเบี้ยโครงการเพิ่มบางส่วน แต่จำนวนไม่มาก (บริษัทแจ้งว่าอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล) ดังนั้น หากไม่ได้รับเงินชดเชย บริษัทจะคงมีภาระเหมือนเดิม จึงไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดของบริษัท และราคาตามปัจจัยพื้นฐานของเรา ซึ่งคำนวณตาม DCF อย่างเป็นนัยสำคัญ
ขณะที่ประเมินว่าบริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบกรณีรอยร้าวตอม่อทางด่วนบางนา-ชลบุรี เพราะโครงการนี้มีการตรวจรับงานและก่อสร้างเสร็จตั้งแต่ปี 42 ซึ่งปัจจุบันเลยระยะเวลารับประกันผลงานแล้ว หากจะมีการซ่อมแซมบริษัทคาดว่าจะต้องมีการจ้างงานใหม่ และหากซ่อมแซมโดยวิธีใช้กาวซีเมนต์ปิดทับเราคาดว่าจะมีต้นทุนไม่มาก ดังนั้นคาดว่าจะไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานของ CK
ดังนั้นยังแนะนำ ?ซื้อ? เรายังมีมุมมองเป็นบวกต่อ CK ในฐานะเป็นผู้รับเหมาที่มีความสามารถทำกำไรดีที่สุดในกลุ่มผู้รับเหมารายใหญ่ ณ สิ้นปี 49 เราประเมินว่าบริษัทมี Backlog ที่ลงนามแล้ว 25 พันล้านบาท และอยู่ระหว่างการรอลงนาม 3.2 พันล้านบาท รองรับการดำเนินงาน 1.5 ปี และมีโอกาสชนะงานประมูลรถไฟฟ้าในอนาคต เนื่องจากบริษัทมีประสบการณ์การก่อสร้างรถไฟใต้ดิน ปัจจุบันซึ่งเป็นเส้นทางต่อเนื่องของสายสีน้ำเงิน นอกจากนี้บริษัทยังมีการลงทุนในธุรกิจสัมปทานน้ำและรถไฟฟ้าที่มีศักยภาพ ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้บริษัทได้ต่อเนื่อง เราจึงยังแนะนำ ?ซื้อ? โดยมีราคาตามปัจจัยพื้นฐาน 12.5 บาท (Sum of the parts valuation)
ทั้งนี้นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซีมิโก้ เชื่อว่า CK คงจะพยายามหาแนวทางในการฟ้องร้องประเด็นอื่นเพิ่มเติมเพื่อเรียกร้องเงินจำนวนดังกล่าวคืนจาก การทางพิเศษแห่งประเทศ (กทพ.) อีกครั้ง เพียงแต่อาจจะอยู่ระหว่างมองหาประเด็นที่สามารถนำมาฟ้องร้องได้ หลังจากบริษัทแจ้งต่อตลาดว่ากำลังหาแนวทางในการเรียกร้องค่าชดเชยอีกครั้ง แม้ว่าศาลฏีกาจะตัดสินไม่ให้ กทพ.จ่ายเงินก็ตาม
เข้าใจว่าทาง CK คงหาประเด็นในการฟ้องร้องเพิ่มเติมอยู่ หรือเป็นอีกมุมหนึ่งของสัญญา ซึ่งคงต้องดูในรายละเอียด และแม้ว่าศาลฏีกาจะมีการตัดสินไปแล้ว แต่ขึ้นอยู่กับประเด็นที่จะฟ้องร้องหากเป็นประเด็นที่ต่างกันก็อาจฟ้องร้องได้ นักวิเคราะห์ กล่าว

ด้านนางสาววิชชุดา ปลั่งมณี ผู้จัดการส่วนวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน บล.เกียรตินาคิน (KKS) กล่าวว่า จากกรณีดังกล่าวยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะมีผลกระทบต่อ CK มากน้อยแค่ไหน เนื่องจากในขณะนี้ข้อมูลยังน้อยเกินไปคงจะต้องเข้าพบผู้บริหารของ CK ก่อนจึงจะวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดขึ้นได้
ก็คงจะต้องเข้าไปดูรายละเอียดก่อน เพราะที่ผ่านมาเคยเข้าไปคุยกับผู้บริหารก็ยืนยันว่าจะรับเงินก้อนนี้อย่างแน่นอน แต่วันนี้มันเปลี่ยนแปลง เพราะผู้บริหารก็ยังไม่ได้ตั้งตัวคงจะต้องเข้าไปดูข้อมูลและรายละเอียดก่อน ส่วนประมาณการรายได้ยังบอกไม่ได้ว่าจะปรับหรือเปล่า นางสาววิชชุดา กล่าว
ด้านนายอภิสิทธิ์ ลิมป์ธำรงกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เกียรตินาคิน กล่าวว่า สัญญาณทางเทคนิคของหุ้น CK ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในลักษณะแกว่งและมีการปรับลดลงหลังจากที่ข่าวดังกล่าวข้างต้นปรากฎ โดยแนะนำนักลงทุนซื้อขายในกรอบแนวรับแนวต้านที่ 8.50 -8.90 บาท



* เศร้าหนักปีนี้ อาจขาดทุน 2.04 พันลบ. ขาดทุนสะสม 189 ลบ.
แหล่งข่าวจากโบรกเกอร์ รายหนึ่งระบุว่า กรณีที่ CK จะไม่ได้ค่าชดเชยและจะต้องกลับรายการที่บันทึกเป็นรายได้เงินชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นที่บันทึกตั้งแต่ปี 2544 จำนวน 2,508 ล้านบาท โดยจะผ่านงบกำไรขาดทุนและจะทำให้ประมาณการกำไรปี 2550 กลายเป็นขาดทุนสุทธิ 2,041 ล้านบาท และจะทำให้กำไรสะสมกลับเป็นขาดทุนสะสม 189 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นจะลดลงเหลือ 5,023 ล้านบาท หรือเท่ากับ 4.03 บาทต่อหุ้น และจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนเพิ่มเป็น 3.1 เท่า



* บล.กรุงศรี เชื่อ ค่าโง่ทางด่วนของ CK กระทบกลุ่มรับเหมาฯ ช่วงสั้น
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวเสริมถึงราคาหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่มีการปรับตัวลดลงวันนีเ ว่า เป็นผลมาจากการที่ศาลฎีกาได้พิพากษาตัดสินให้กทพ. ไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยค่าก่อสร้างทางด่วนเส้นบางนา-บางพลี-บางปะกง จำนวนประมาณ 6.2 พันล้านบาท ให้แก่ CK เป็นตัวดึงจิตวิทยาการลงทุนของหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างให้เป็นลบ แต่ทั้งนี้ทางด้านพื้นฐานมองว่า หุ้นตัวอื่นในกลุ่มไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวโดยตรง ดังนั้นเรื่องดังกล่าวอาจจะกดดันเพียงระยะสั้น

เรื่อง CK แพ้คดี ความจริง ก็ไม่มีผลต่อตัวผลกำไรของบริษัทมากเท่าไรนัก แต่เพราะ CK คาดว่าจะชนะคดีดังกล่าวจึงนำเงินมาตั้งไว้เป็นรายได้ของบริษัท ดังนั้นเมื่อแพ้คดี ก็เลยต้องเอาออกจาก จึงอาจจะทำให้มีผลออกมาเป็นขาดทุนสะสมแทน แต่ก็ไม่ได้กระทบต่อความสามารถในการทำกำไรในอนาคตของเขาอยู่ดี จะกระทบก็เพียงแค่ในไตรมาส 1 เท่านั้น แต่ที่มีผลก็คือ อาจจะทำให้ CK ขอกู้เพิ่ม หรือออกหุ้นกู้ได้ยากขึ้น เพราะเรื่องดังกล่าวจะทำให้ค่า DE จากเดิมอยู่ที่ 1.88 เท่า เพิ่มขึ้นมาเป็น 2 เท่า ซึ่งทั้งนี้หุ้นตัวอื่นในกลุ่มก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวเลย นักวิเคราะห์รายเดิม กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมระยะยาว มองว่าหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างยังคงน่าลงทุนอยู่ เนื่องจากมีเซนทิเมนท์ที่ดี เรื่องความคืบหน้าเรื่องโครงการรถไฟฟ้า 5 สาย ซึ่งหากสามารถเปิดประมูลได้ภายในเดือน เม.ย. ปีนี้ ตามที่ได้ประกาศออกมา ก็ช่วยให้หุ้นในกลุ่มรับเหมาฯ โดยเฉพาะบริษัทฯที่จะชนะการประมูลมีงานในมือเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ แนะนำนักลงให้ ซื้อ CK โดยให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 12.15 บาท เนื่องจาก CK มีศักยภาพ และมีโอกาสที่จะเป็นผู้ชนะการประมูลโครงการรถไฟฟ้า


* บิ๊ก CK ระบุมี Backlog ในมือกว่า 1.3 พันลบ.-เดินหน้าประมูลรถไฟฟ้า
แหล่งข่าวระดับสูงจาก CK กล่าวกับ eFinanceThai.com ว่า ปัจจุบันบริษัทฯมีงานในมือ (Backlog) มากกว่า 1.2 - 1.3 พันล้านบาท กระจายในงานภาครัฐ 80% และภาคเอกชน 20% ซึ่ง Backlog ดังกล่าวจะทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมดในปีนี้ โดยบริษัทฯมีความพร้อมที่จะเข้าไปประมูลงานโครงการรถไฟฟ้า 5 สายของภาครัฐ โดยจากศักยภาพการรับงานก่อสร้างที่มีความชำนาญและเป็นที่ยอมรับจึงมั่นใจว่ามีโอกาสได้รับเลือกดำเนินงานโครงการดังกล่าว โดยจะใช้กลยุทธ์เสนอราคาประมูลที่เหมาะสม

สัดส่วนรับงานเราปีนี้ยังไม่ต่างจากปีก่อนมาก คือเน้นภาครัฐ 80% และเอกชน20% ซึ่งเราจะไม่ใช้วิธีกดราคาให้ต่ำเพื่อให้ได้งานมา เพราะเกรงว่าจะมีปัญหาภายหลังเรื่องต้นทุนจนส่งผลเสียกับเรา แต่จะเสนอราคาให้เหมาะสมที่สุด แหล่งข่าวระดับสูง กล่าว

แหล่งข่าวระดับสูง กล่าวด้วยว่า บริษัทฯจ่ายเงินปันผลงวดปี 2549 ให้กับผู้ถือหุ้นอย่างแน่นอน เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายปันผล 40% ของกำไรสุทธิ โดยแม้ผลประกอบการงวด 9 เดือนของปี 2549 จะมีกำไรสุทธิถึง 1.16 พันล้านบาท สูงกว่าปี 2548 ทั้งปีที่มีกำไรสุทธิ 684 ล้านบาท แต่ก็ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าจะจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงกว่าปีก่อนที่ 0.35 บาท/หุ้นได้หรือไม่ เนื่องจากต้องรอดูงบอย่างเป็นทางการ




.00020
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com