April 30, 2024   7:39:14 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > วิเคราะห์หุ้นหลังตลาดปิดวันนี้
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 15/02/2007 @ 22:46:42
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

AOT: กำไรปกติไตรมาส 1/50 ลดลง 76% - ขาย

ประเด็นสำคัญ

ท ยังคงคำแนะนำ ขาย โดยมีมูลค่าที่เหมาะสมปี 50 ที่ 52.00 บาท (DCF)

-กำไรสุทธิไตรมาส 1/50 (ตค.-ธค. 49) ลดลงเกือบ 60% เป็น 1.36 พันล้านบาท (ต่ำกว่าที่เราคาดไว้ที่ 1.6 พันล้านบาท) อันเป็นผลจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจากการย้ายฐานปฏิบัติการไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ และหากไม่นับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 1.1 พันล้านบาท AOT จะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติไตรมาสนี้ราว 540 ล้านบาท ลดลง 76% จากไตรมาส 1/49

-ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นมากกว่าคาด รายได้จากการดำเนินการส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับที่คาด มีเพียงรายได้จากการบริการซึ่งมีสัดส่วน 13% ของยอดรวมที่เพิ่มขึ้นมากกว่าที่เราคาดไว้ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมสูงกว่าที่คาด โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (สัดส่วน 33%) ที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว (จาก 571 ล้านบาทเป็น 1.3 พันล้านบาท)

-ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 50 ที่ 1.9 พันล้านบาท อาจจะเร็วไปที่จะมีการปรับประมาณการกำไรปกติปีนี้ของเรา เนื่องจากเราเชื่อว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 1/50 ของ AOT ยังไม่ได้สะท้อนแนวโน้มรายได้และค่าใช้จ่ายของทั้งปี โดยคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานในช่วง 3 ไตรมาสหลังของปีจะสูงกว่าไตรมาส 1/50 จากการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมผู้โดยสารในเดือน ก.พ. และค่าธรรมเนียมสนามบินในเดือน เม.ย. นี้ ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในช่วง 3 ไตรมาสหลังของปีหากพิจารณาจากข้อมูลในอดีตก็มีแนวโน้มที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก

-ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นอีกจากการเปิดดำเนินการสนามบินดอนเมือง เราเชื่อว่าหาก AOT ต้องเปิดดำเนินการสนามบินดอนเมืองด้วยก็จะส่งผลต่อให้ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานสูงขึ้นไปอีก ซึ่งบริษัทฯคาดว่าจะอยู่ในราว 1.6 พันล้านบาท/ปี



THAI: กำไรปกติไตรมาส 1/50 ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน - เก็งกำไร

ประเด็นสำคัญ
-ยังคงคำแนะนำ เก็งกำไร โดยมีมูลค่าเหมาะสมปี 50 ที่ 48 บาท (3.5X PCF)

- THAI ทำกำไรสุทธิ 4 พันล้านบาทในไตรมาส 1/50 หากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 1.7 พันล้านบาท THAI จะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติประมาณ 2.9 พันล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาส 1/49 แต่ต่ำกว่าที่เราคาดไว้ที่ 3.2 พันล้านบาท เนื่องจากค่าเช่าเครื่องบินและค่าใช้จ่ายดำเนินงานอื่นสูงกว่าคาด โดยเป็นผลจากค่าเช่าพื้นที่ระวางขนส่งพัสดุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความต้องการขนส่งสินค้าในเส้นทางยุโรป และค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่สนามบินสุวรรณภูมิ หากเปรียบเทียบกับไตรมาส 4/49 มีผลขาดทุนจากการดำเนินงานปกติ 3 พันล้านบาท ถือว่าผลการดำเนินงานของ THAI ฟื้นตัว

-ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 50 ที่ 8 พันล้านบาท แม้ว่ากำไรปกติไตรมาส 1/50 ของ THAI คิดเป็นสัดส่วนถึง 36% ของประมาณการทั้งปีนี้ของเรา แต่เชื่อว่าประมาณการทั้งปีที่ 8 พันล้านบาท ยังไม่ต่ำเกินไป เมื่อพิจารณาจากลักษณะการทำกำไรของ THAI ที่แปรผันตามฤดูกาลและต้นทุนเชื้อเพลิงที่เป็นสัดส่วนในค่าใช้จ่ายมากที่สุด อย่างไรก็ตาม เรามีแนวโน้มที่จะปรับประมาณกำไรสุทธิปีนี้เพิ่มขึ้นจากผลของกำไรอัตราแลกเปลี่ยน

-ความเสี่ยงจากราคาเชื้อเพลิงที่ผันผวน เรายังคงให้ความผันผวนของราคาน้ำมันเป็นความเสี่ยงหลักต่อผลการดำเนินงานของ THAI แม้ว่าราคาเฉลี่ยน้ำมันเครื่องบินเจ็ทในไตรมาส 1/50 จะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 14% แต่เรามองสมมติฐานราคาน้ำมันฯเฉลี่ยทั้งปีที่ลดลงจากปีก่อนถึง 24%

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 15/02/2007 @ 22:47:36 : re: วิเคราะห์หุ้นหลังตลาดปิดวันนี้
BBL : ปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1-3 ปี ลง 0.25-0.5% - ซื้อ

รอยเตอร์, 14 กุมภาพันธ์ 2550
BBL ประกาศปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1, 2 และ 3 ปี ลง 0.25% - 0.5% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 50 เป็นต้นไป

ความเห็นนักวิเคราะห์
-ปรับลงมาเท่ากับธนาคารอื่นที่ปรับลดมาก่อนหน้านี้ เราประเมินว่าการประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำสำหรับเงินฝากที่มีอายุเกิน 1 ปี ของธนาคารพาณิชย์ในช่วงที่ผ่านมา จะส่งผลประโยชน์ทางบวกให้กับธนาคารพาณิชย์ไม่มากนัก เนื่องจาก สัดส่วนเงินฝากประจำที่มีอายุเกิน 1 ปี มีสัดส่วนเพียง 13% ของเงินฝากรวมเท่านั้น และการปรับลดจะทยอยเกิดขึ้นกับเงินฝากที่หมดอายุเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลให้ต้นทุนของธนาคารปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

-ซื้อขายที่ระดับ PBV ปี 50 ต่ำสุด ที่ระดับ 1.3 เท่า ขณะที่เมื่อเทียบกับ 4 ธนาคารขนาดใหญ่ SCB ซื้อขายที่ระดับ 2.07 เท่า, KBANK 1.6 เท่า และ KTB ที่ระดับ 1.4 เท่า ดังนั้น เราคาดว่า BBL มีโอกาสที่จะปรับขึ้นตามเพื่อนๆ ในกลุ่มได้

- คงคำแนะนำ ซื้อ โดยเราประมาณการกำไรสุทธิของธนาคารในปี 50 ยังขยายตัวได้อีก 8% และให้ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) ที่ระดับ 12% โดยประเมินราคาตามมูลค่าพื้นฐานไว้ที่ระดับ 135 บาท (PBV 50 ที่ระดับ 1.6 เท่า)
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#2 วันที่: 15/02/2007 @ 22:49:37 : re: วิเคราะห์หุ้นหลังตลาดปิดวันนี้
ITD : ราคาปรับตัวขึ้นแรง - เก็งกำไร

ราคาหุ้น ITD วานนี้ปรับตัวขึ้นแรงถึง 15.2% Outperform บริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่อื่น เช่น STEC ที่มีการปรับตัวขึ้น 2.9% และ CK ที่ลดลง 0.6%

ความเห็นนักวิเคราะห์
- เบื้องต้นเราสันนิษฐานว่าเป็นผลเชิงบวกจากการตรวจสอบสนามบิน ผลการตรวจสอบของคณะกรรมการกลางการตรวจสอบรอยปริแตกของแท็กซี่เวย์และรันเวย์ของสนามบินสุวรรณภูมิ ที่แจ้งว่าปัญหาไม่รุนแรงและสาเหตุหลักเป็นปัญหาจากน้ำ ไม่ใช่วัสดุก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน อย่างที่กังวลก่อนหน้านี้ ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงที่ผู้รับเหมาหลัก คือ กลุ่ม ITD จะต้องรับผิดชอบความเสียหายมีน้อยลง และอีกสาเหตุหนึ่งอาจจะเป็นผลจากการที่ STEC ถูกถอดจาก MSCI ทำให้คาดหมายกันว่าจะมีการโยกการลงทุนจาก STEC ที่ถูกถอดจาก MSCI มาลงทุนใน ITD แทน
- แนะนำ เก็งกำไร แต่มีความเสี่ยง แม้กระแสข่าวการตรวจสอบรันเวย์ล่าสุด มีแนวโน้มเชิงบวกต่อกลุ่มผู้รับเหมาหลักคือ กลุ่ม ITD แต่ผลตรวจสอบยังไม่เป็นที่สุด บริษัทยังมีความเสี่ยงตราบใดที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าความเสียหายเป็นจำนวนเท่าใด และใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ และนอกจากนี้ปัจจุบัน ITD ถูกฟ้องร้องในกรณี CTX 9000 อยู่ ซึ่งความเสียหายส่วนนี้ยังไม่แน่นอนและประเมินไม่ได้ อันจะส่งผลให้มูลค่าพื้นฐานของ ITD แกว่งตัวในช่วง 4.8-6.4 บาท (ตามตาราง) เราจึงแนะนำเพียง เก็งกำไร สำหรับผู้ที่ไม่ชอบความเสี่ยง แนะนำ Switch ไปลงทุนใน CK (ราคาตามปัจจัยพื้นฐาน 12.5 บาท)



MCOT : จะลงทุนทำโทรทัศน์ดาวเทียม 4 ช่อง - ซื้อ

นายพงษ์ศักดิ์ พยัคฆ์วิเชียร รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ของ MCOT เปิดเผยว่า บริษัทมีโครงการทำช่องโทรทัศน์ดาวเทียมเพิ่มอีก 4 ช่อง คาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 80 ล้านบาท และจะทำรายได้เพิ่มราว 100 ล้านบาทต่อปี โดยประเมินจากรายได้ที่ได้รับจากหน่วยงานราชการ

ความเห็นนักวิเคราะห์
- เนื่องจาก เม็ดเงินโฆษณาที่ผ่านสื่อโทรทัศน์ดาวเทียม มีมูลค่าน้อยมาก หาก MCOT ไม่ได้รับงบสนับสนุนจากกระทรวงต่างๆ ที่เข้ามาร่วมผลิตรายการตามแผนที่วางไว้ ก็คงยากที่จะมีกำไรเชิงพาณิชย์จากธุรกิจนี้ได้จริง ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า (ผู้ประกอบการอย่าง MEDIAS และ LIVE ก็ยังขาดทุนจากธุรกิจนี้) ทั้งนี้ เราไม่ได้รวมธุรกิจในประมาณการปัจจุบัน

- ผู้ประกอบการหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น GRAMMY RS MEDIAS LIVE และ NTB ต่างมีโครงการขยายงานในธุรกิจโทรทัศน์ดาวเทียม เนื่องจาก คาดว่าธุรกิจนี้จะเติบโตในอนาคต ตามแนวโน้มในต่างประเทศ เราเชื่อว่าการมีจำนวนช่องเพิ่มขึ้นจะทำให้ฐานผู้ใช้จานดาวเทียมเพิ่มขึ้น และทำให้รายได้โฆษณาในธุรกิจนี้เพิ่มขึ้นตามมา

- สัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏข่าวว่า ครม. เตรียมพิจารณาบังคับใช้ time-zone โดยให้สถานีโทรทัศน์ทุกช่อง บรรจุรายการเพื่อเด็ก และสังคมในช่วง 16:00-22:00 น. หากมีการบังคับใช้จริง MCOT น่าจะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด เนื่องจากรายการกว่า 80% ของ MCOT จัดเป็นรายการประเภทนี้อยู่แล้ว ในขณะที่ BEC (ขาย มูลค่าพื้นฐาน 19.54 บาท) จะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด เพราะ BEC มีรายได้จากการทำรายการในช่วงเวลาดังกล่าว (ส่วนใหญ่เป็นละคร) ถึงกว่า 80% ของรายได้รวม

- ราคาหุ้น MCOT ที่ซื้อขายที่ PER ปี 50 เพียงแค่ 12 เท่า เทียบกับ 21 เท่าของ BEC น่าจะเป็นเพราะกังวลต่อแนวโน้มการเติบโตของกำไรในอนาคต จากการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารมากเกินไป ในขณะที่ผู้จัดรายใหญ่ช่วง primetime อาทิ WORK, GMMM ยังคงดำเนินการอยู่ จึงยังคงคำแนะนำ ซื้อ ประเมินมูลค่าพื้นฐานที่ 28.05 บาท (DCF) ยังมี upside 14% จากราคาปิด
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#3 วันที่: 15/02/2007 @ 22:50:53 : re: วิเคราะห์หุ้นหลังตลาดปิดวันนี้
INET ราคาปิด 1.75 บาท แนะนำ ซื้อ
แนวโน้มขาลงระยะยาวของ INET เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือน พ.ย. 47 ราคาอ่อนตัวลงต่อเนื่อง จาก 14.80 บาท ทำจุดต่ำสุดบริเวณ 1.30 บาท เมื่อไม่นานมานี้ แม้โครงสร้างหลักจะแสดงถึงภาวะหมีอย่างสมบูรณ์ แต่หากพิจารณาในแง่ความเสี่ยงที่ราคาจะปรับลงไปอีกอย่างมีนัยสำคัญ พบว่าเริ่มลดน้อยลงตามลำดับ เนื่องด้วยพบลักษณะของ Bullish Divergence ใน RSI และ Stochastic รายสัปดาห์ อีกทั้ง ณ บริเวณเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 10 และเส้น 25 สัปดาห์ นี้ สัญญาณแท่งเทียนเกิดลักษณะการเปลี่ยนแนวโน้มหลายประการ ขณะที่ INET ยังทรงตัวเหนือแนวรับระยะยาวเช่นปัจจุบันน่าเป็นโอกาสดีต่อการลงทุนระยะยาว
แนวรับ 1.50-1.70 บาท
แนวต้าน 2.00-2.20 บาท

SET ปิดที่ 693.86 จุด
เมื่อวานนี้ช่วงแรกของการซื้อขาย ดัชนีสามารถดีดตัวเกินกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ที่เคลื่อนผ่านบริเวณ 695 จุดโดยทำจุดสูงที่ 701 จุด อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่สองของการซื้อขาย ดัชนีไม่อาจยืนเหนือเส้นแนวต้านดังกล่าวได้ อีกทั้งยังปรับลงปิด ณ จุดต่ำสุดที่ 693 จุด ส่งผลให้สัญญาณขายจากเครื่องมือ Stochastic ชัดเจนขึ้น ซึ่งจะส่งผลลบต่อทิศทางของดัชนีได้ในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้นักลงทุนระยะสั้นอาจเข้าเก็งกำไรได้เมื่อดัชนีปรับลงทดสอบเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน ณ 687 จุด
แนวรับ 685-688 จุด
แนวต้าน 695-698 จุด
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#4 วันที่: 16/02/2007 @ 09:39:46 : re: วิเคราะห์หุ้นหลังตลาดปิดวันนี้
AIT: ตั้งเป้ายอดขายเพิ่มเท่าตัวในอีก 3 ปีข้างหน้า - ซื้อ

สรุปประเด็นสำคัญ
- ปรับคำแนะนำเป็น ซื้อ ด้วยมูลค่าพื้นฐาน 28.80 บาท (PER 8 เท่าปี 50) และคาดว่าจะให้ผลตอบแทนปันผลอีก 5% สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งหลังของปี

- ผลการดำเนินงานระยะสั้นยังคงสดใส ปี 49 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่ดีที่สุดปีหนึ่งของ AIT ทั้งรายได้ที่คาดว่าจะขยายตัว 20% เป็น 2.3 พันล้านบาท จากการขยายฐานลูกค้า และมีกำไรสุทธิ 201 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9 เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (กำไรจากการดำเนินงาน ไม่รวมบันทึกกลับรายได้จากโครงการ GIS ก็เติบโต 1.5 เท่า) โดยคาดว่าไตรมาส 4/49 จะมีกำไรสุทธิ 43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

- ตั้งเป้ารายได้เติบโตอีก 20% ในปี 50 การสัมภาษณ์ผู้บริหารวานนี้ AIT ยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้อีก 20% ในปี 50 เป็น 2.7 พันล้านบาท ด้วยการเร่งทำตลาดกับลูกค้ารายเดิม เพิ่มฐานลูกค้า และผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยปัจจุบันมีมูลค่างานในมือรอรับรู้ในปี 50 แล้ว 1.1 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 40% ของเป้าหมาย และเตรียมเข้าประมูลงานอีกกว่า 3.9 พันล้านบาท

- ยังคงประมาณการเชิงระมัดระวัง เรายังคงคาดรายได้ 2.3 พันล้านบาทในปี 50 ทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทั้งจากการสั่งซื้อจากหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของ AIT และการรุกผลิตภัณฑ์ใหม่ อาทิ ธุรกิจ GIS, IP Phone หรือระบบป้องกันภัยในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แต่กำไรจากการดำเนินงานสุทธิยังปรับลดลง 17% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากแรงกดดันอัตรากำไรโดยเฉพาะในธุรกิจ SI ตามการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น

- ตั้งเป้ายอดขาย 6 พันล้านบาทในปี 51 วิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจระยะเวลา 3 ปีข้างหน้าถือเป็นไฮไลท์ของการประชุมวานนี้ โดย AIT ตั้งเป้ายอดขายเติบโตเท่าตัวเป็น 6 พันล้านบาท ในปี 52 ด้วยกลยุทธ์เชิงรุก ทั้งเร่งสร้างยอดขายในกลุ่มลูกค้าเดิม ขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ โดยเฉพาะในภาคการผลิต และภาคเงิน เพิ่มสัดส่วนรายได้งานบริการ (อัตรากำไรสูง) จาก 10% ในปัจจุบัน เป็น 20-25% ของรายได้รวม อย่างไรก็ดี เรายังมิได้เปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการเติบโตในอนาคตของ AIT ณ ขณะนี้ แต่อย่างใด เพราะเห็นว่าเป็นเป้าหมายที่ท้าทายของบริษัท เนื่องจากการรุกเข้าสู่ฐานลูกค้าใหม่ๆ ซึ่งมีเจ้าตลาดอยู่แล้ว ในท้ายที่สุด ก็อาจต้องแลกด้วยอัตรากำไรที่ลดลงมากได้

.00020
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#5 วันที่: 16/02/2007 @ 09:41:29 : re: วิเคราะห์หุ้นหลังตลาดปิดวันนี้
TTA: กำไรปกติไตรมาส 1/50 ลดลง 12% - เก็งกำไร

ประเด็นสำคัญ
- คงคำแนะนำ เก็งกำไร ด้วยมูลค่าพื้นฐานปี 50 ที่ 28.00 บาท (4.6X Norm PER)

- กำไรปกติไตรมาส 1/50 ลดลง 12% จากไตรมาส 1/49 เป็น 857 ล้านบาท แต่ฟื้นตัวดีขึ้น 22% จากไตรมาส 4/49 แม้อัตราค่าระวางเฉลี่ย (TC rate) ไตรมาสนี้สูงกว่าไตรมาส 1/49 ราว 13% แต่ผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นและจำนวนวันเดินเรือที่ลดลง ส่งผลให้รายได้ค่าระวางเพิ่มขึ้น 2% ค่าใช้จ่ายปรับสูงขึ้นเป็นผลต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า จากการตัดจำหน่ายค่าใช้จ่ายเข้าอู่แห้ง สำหรับธุรกิจบริการนอกชายฝั่งของ MML มีรายได้สูงขึ้น 2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/49 เนื่องจากมีเรือขุด 1 ลำ (จากจำนวน 2 ลำ) ที่เข้าอู่ซ่อม

- คาดว่าผลการดำเนินงานในช่วง 3 ไตรมาสหลังของปีจะมีแนวโน้มที่ดี กำไรปกติไตรมาส 1/50 คิดเป็น 22% ของประมาณการทั้งปี 50 ของเรา ซึ่งเราคาดว่าผลการดำเนินงานในช่วง 3 ไตรมาสหลังของปีจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอันเป็นผลบวกจากการฟื้นตัวของค่าระวางเรือเทกองตามตลาดโลก และการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง

- ความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าระวาง แม้เราได้เคยคาดว่าค่าระวางเรือเทกองในปีนี้มีแนวโน้มฟื้นตัวจากปี 49 (เนื่องจากความต้องการขนส่งสินค้าที่ยังเติบโตต่อเนื่อง ในขณะที่ปริมาณเรือใหม่ที่เข้าสู่ระบบกำลังมีอัตราการขยายตัวที่ต่ำลง) แต่ผลกระทบจากค่าระวางที่ผันผวนตามฤดูกาลยังคงมีอยู่ต่อไป ซึ่งหมายความว่าค่าระวางจะมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงไตรมาส 2-3 ของปีปฏิทิน ซึ่งเป็นเหตุผลให้เราแนะนำเก็งกำไรหุ้นกลุ่มเดินเรือเทกอง




TASCO: กำไรปี 49 ตามคาด - โรงกลั่นที่มาเลเซียจะหนุนกำไรปี 50-51 - ซื้อ

สรุปประเด็นสำคัญ

- คงคำแนะนำ ซื้อ จากแนวโน้มกำไรปี 50 และ 51 ที่คาดว่าจะโต 11% และ 33% ตามลำดับ ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากโรงกลั่นที่มาเลเซียที่กำลังทดสอบการผลิต จะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ มี.ค. นี้ และส่งวัตถุดิบให้ TASCO ได้ตั้งแต่ ไตรมาส 2/50 ซึ่งเป็น Key driver ที่สำคัญต่อตลาดส่งออกและการบริหารต้นทุนวัตถุดิบของ TASCO ที่จะเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการเติบโตในปี 50-51เราประเมินมูลค่าพื้นฐาน 32 บาท (DCF, WACC 10.03% และ fully diluted หุ้นทั้งหมด 164.32 ล้านหุ้น)

- ไตรมาส 4/49 กำไรสุทธิ 132 ล้านบาท เป็นกำไรรายการพิเศษ 13 ล้านบาท และมีกำไรจากการดำเนินงานสุทธิ 119 ล้านบาท เพิ่ม 381% จากช่วงเดียวกันปีก่อนและ 13% จากไตรมาสที่แล้ว (ดีกว่าคาด 4% จากอัตรากำไรดีกว่าคาด) โดยยอดขายรวมทรงตัวจากไตรมาสก่อนแม้ยอดขายในประเทศจะซบ แต่ยอดส่งออกและยอดขายของบริษัทย่อยในจีนและราคาขายที่เพิ่ม กอปรกับสัดส่วนการขาย AE และ PMA ที่สูงทำให้อัตรากำไรเพิ่มจาก 8% ในช่วงเดียวกันปีก่อน และ 11.7% ในไตรมาสก่อนหน้าเป็น 13.6%

- ปี 49 กำไรปกติ 388 ล้านบาท - ตามคาด มีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน 48 ล้านบาท ทำให้มีกำไรสุทธิ 343 ล้านบาท กำไรปกติโตถึง 97% เพราะยอดขายโต 30% และอัตรากำไรดีขึ้นจากยอดส่งออกและยอดขายของบริษัทย่อยในจีน

- คาดปันผล 1 บาท สำหรับกำไรปี 49 สมมติฐานอัตราเงินปันผลจ่าย 49% ของกำไร ณ ราคาหุ้นปัจจุบันให้อัตราเงินปันผลตอบแทน 4%

- คาดกำไรปี 50 และ 51 โต 11% และ 33% ตามลำดับ ฝ่ายวิจัยคาดกำไรปี 50 และ 51 ไว้ที่ 429 ล้านบาท (+11% จากปี 49) และ 572 ล้านบาท (+33% จากปี 50) ตามลำดับ จากแนวโน้มอัตรากำไรที่คาดว่าจะดีขึ้นจาก 11.8% ในปี 49 เป็น 12.1% และ 13.0% ในปี 50 และ 51 เพราะมีวัตถุดิบจากโรงกลั่นที่มาเลเซียเข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 2/50 (โรงกลั่นจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ มี.ค. 50) [/color:73d6f5c9c5">


.00020
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#6 วันที่: 16/02/2007 @ 09:42:42 : re: วิเคราะห์หุ้นหลังตลาดปิดวันนี้
CK : ศาลฎีกาพิพากษา กทพ. ไม่ต้องจ่ายเงินชดเชย CK - ซื้อ

รอยเตอร์, 16 กุมภาพันธ์ 2550
ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่ BBCD จำนวน 6.03 พันล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี จากกรณีที่กิจการร่วมค้า BBCD กล่าวหาว่า กทพ.ผิดสัญญาสัมปทานโครงการก่อสร้างทางด่วนยกระดับ บางนา บางพลี บางปะกง โดยศาลฎีการะบุว่าอดีตผู้ว่าฯ กทพ.ลงนามในสัญญาสัมปทานกับกิจการร่วมค้า BBCD โดยมิชอบ เพื่อแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นสิทธิการซื้อหุ้นราคาถูกจากเอกชนผู้ฟ้องและเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อ BBCD จึงไม่มีเหตุที่ กทพ.จะต้องชำระค่าเสียหายจากการผิดสัญญาสัมปทาน

ความเห็นนักวิเคราะห์
ง ไม่มีผลต่อการดำเนินงาน แต่จะมีผลกระทบทางบัญชี คำพิพากษาดังกล่าว คาดว่าจะส่งผลกระทบทางบัญชีต่อ CK ดังนี้

1) บันทึกกลับรายได้ (Write off ลูกหนี้เงินชดเชย) 2.5 พันล้านบาท ที่เคยรับรู้ทางบัญชีไป ซึ่งจะพลิกให้บริษัทขาดทุนในไตรมาส 1/50 อย่างไรก็ดี บริษัทแจ้งว่าอยู่ระหว่างการยืนยันกับผู้ตรวจสอบบัญชีว่าการบันทึกกลับจะเป็นลักษณะใด

2) ส่วนผู้ถือหุ้นลดลง 2.5 พันล้านบาท หรือ 1.75 พันล้านบาทหากคิดประโยชน์ทางภาษี 30%

3) อัตราหนี้สินสุทธิต่อทุนจะเพิ่มขึ้น จากประมาณ 2 เท่า ในปัจจุบัน เป็นประมาณ 2.4 เท่า ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้ Covenant ของหุ้นกู้ที่กำหนดห้ามบริษัทมี Net Debt/Equity เกิน 2.5 เท่าอีกทั้งปีนี้จะได้รับเงิน 878 ล้านบาทจากการใช้สิทธิของ วอร์แรนท์ 195 ล้านหน่วยที่ครบกำหนด และจะมีกำไรจากการขายหุ้น TTW

4) กำไรสะสมจะติดลบ จ่ายปันผลไม่ได้ ณ 30 ก.ย. 49 บริษัทมีกำไรสะสม 1.7 พันล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 1.8 พันล้านบาท เมื่อสิ้นสุดปี 49 หากต้องกลับรายได้ 2.5 พันล้านบาท จะกลายเป็นขาดทุนสะสม 700 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้บริษัทจ่ายปันผลในปี 50 ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม บริษัทอาจนำ ส่วนล้ำมูลค่าหุ้นที่สูงถึง 4.0 พันล้านบาท มาล้างขาดทุนสะสม เพื่อจ่ายปันผลตามปกติได้
เราประเมินว่า คำพิพากษาดังกล่าวไม่กระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท เพราะเป็นโครงการเก่า ซึ่งบริษัทรับภาระตามสัดส่วนการถือหุ้นตามงบการเงินรวมอยู่แล้ว ดังนั้น แม้ไม่ได้รับเงินชดเชย บริษัทจะคงมีภาระเช่นเดิม จึงไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดของบริษัท และราคาตามปัจจัยพื้นฐานของเรา ซึ่งคำนวณตาม DCF ทั้งนี้ บริษัท แจ้งว่าอยู่ระหว่างรวบรวมและสรุปผลกระทบทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นหลังคำพิพากษา ซึ่งเราจะนำเสนอในรายละเอียดอีกครั้ง

- ยังแนะนำ ซื้อ แม้ผลการดำเนินงานที่พลิกเป็นขาดทุน จะกดดันราคาหุ้นในระยะสั้น แต่ก็เป็นเพียงรายการพิเศษทางบัญชี ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท พิจารณากำไรปกติยังคงเติบโตสดใสถึง 48% ในปี 50 CK ยังเป็นผู้รับเหมารายใหญ่ที่มีศักยภาพในการหางานทั้งในและต่างประเทศ และมีโอกาสชนะงานประมูลรถไฟฟ้าในอนาคต อีกทั้ง ราคาตลาดปัจจุบันยังต่ำกว่ามูลค่าเงินลงทุนในธุรกิจอื่นของ CK ที่ 9.44 บาท การปรับตัวลงของราคาหุ้นจึงเป็นโอกาสในการลงทุน เราจึงยังแนะนำ ซื้อ โดยยังคงราคาตามปัจจัยพื้นฐาน 12.5 บาท (Sum of the parts valuation)

รุ่งรัตน์ สุนทรปกาสิต No. 3940
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#7 วันที่: 16/02/2007 @ 13:42:38 : re: วิเคราะห์หุ้นหลังตลาดปิดวันนี้
AIT: ตั้งเป้ายอดขายเพิ่มเท่าตัวในอีก 3 ปีข้างหน้า - ซื้อ

สรุปประเด็นสำคัญ
- ปรับคำแนะนำเป็น ซื้อ ด้วยมูลค่าพื้นฐาน 28.80 บาท (PER 8 เท่าปี 50) และคาดว่าจะให้ผลตอบแทนปันผลอีก 5% สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งหลังของปี

- ผลการดำเนินงานระยะสั้นยังคงสดใส ปี 49 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่ดีที่สุดปีหนึ่งของ AIT ทั้งรายได้ที่คาดว่าจะขยายตัว 20% เป็น 2.3 พันล้านบาท จากการขยายฐานลูกค้า และมีกำไรสุทธิ 201 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9 เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (กำไรจากการดำเนินงาน ไม่รวมบันทึกกลับรายได้จากโครงการ GIS ก็เติบโต 1.5 เท่า) โดยคาดว่าไตรมาส 4/49 จะมีกำไรสุทธิ 43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

- ตั้งเป้ารายได้เติบโตอีก 20% ในปี 50 การสัมภาษณ์ผู้บริหารวานนี้ AIT ยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้อีก 20% ในปี 50 เป็น 2.7 พันล้านบาท ด้วยการเร่งทำตลาดกับลูกค้ารายเดิม เพิ่มฐานลูกค้า และผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยปัจจุบันมีมูลค่างานในมือรอรับรู้ในปี 50 แล้ว 1.1 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 40% ของเป้าหมาย และเตรียมเข้าประมูลงานอีกกว่า 3.9 พันล้านบาท

- ยังคงประมาณการเชิงระมัดระวัง เรายังคงคาดรายได้ 2.3 พันล้านบาทในปี 50 ทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทั้งจากการสั่งซื้อจากหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของ AIT และการรุกผลิตภัณฑ์ใหม่ อาทิ ธุรกิจ GIS, IP Phone หรือระบบป้องกันภัยในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แต่กำไรจากการดำเนินงานสุทธิยังปรับลดลง 17% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากแรงกดดันอัตรากำไรโดยเฉพาะในธุรกิจ SI ตามการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น

- ตั้งเป้ายอดขาย 6 พันล้านบาทในปี 51 วิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจระยะเวลา 3 ปีข้างหน้าถือเป็นไฮไลท์ของการประชุมวานนี้ โดย AIT ตั้งเป้ายอดขายเติบโตเท่าตัวเป็น 6 พันล้านบาท ในปี 52 ด้วยกลยุทธ์เชิงรุก ทั้งเร่งสร้างยอดขายในกลุ่มลูกค้าเดิม ขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ โดยเฉพาะในภาคการผลิต และภาคเงิน เพิ่มสัดส่วนรายได้งานบริการ (อัตรากำไรสูง) จาก 10% ในปัจจุบัน เป็น 20-25% ของรายได้รวม อย่างไรก็ดี เรายังมิได้เปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการเติบโตในอนาคตของ AIT ณ ขณะนี้ แต่อย่างใด เพราะเห็นว่าเป็นเป้าหมายที่ท้าทายของบริษัท เนื่องจากการรุกเข้าสู่ฐานลูกค้าใหม่ๆ ซึ่งมีเจ้าตลาดอยู่แล้ว ในท้ายที่สุด ก็อาจต้องแลกด้วยอัตรากำไรที่ลดลงมากได้

.00020
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#8 วันที่: 16/02/2007 @ 16:59:54 : re: วิเคราะห์หุ้นหลังตลาดปิดวันนี้
TTA: กำไรปกติไตรมาส 1/50 ลดลง 12% - เก็งกำไร

ประเด็นสำคัญ

- คงคำแนะนำ เก็งกำไร ด้วยมูลค่าพื้นฐานปี 50 ที่ 28.00 บาท (4.6X Norm PER)

- กำไรปกติไตรมาส 1/50 ลดลง 12% จากไตรมาส 1/49 เป็น 857 ล้านบาท แต่ฟื้นตัวดีขึ้น 22% จากไตรมาส 4/49 แม้อัตราค่าระวางเฉลี่ย (TC rate) ไตรมาสนี้สูงกว่าไตรมาส 1/49 ราว 13% แต่ผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นและจำนวนวันเดินเรือที่ลดลง ส่งผลให้รายได้ค่าระวางเพิ่มขึ้น 2% ค่าใช้จ่ายปรับสูงขึ้นเป็นผลต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า จากการตัดจำหน่ายค่าใช้จ่ายเข้าอู่แห้ง สำหรับธุรกิจบริการนอกชายฝั่งของ MML มีรายได้สูงขึ้น 2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/49 เนื่องจากมีเรือขุด 1 ลำ (จากจำนวน 2 ลำ) ที่เข้าอู่ซ่อม

- คาดว่าผลการดำเนินงานในช่วง 3 ไตรมาสหลังของปีจะมีแนวโน้มที่ดี กำไรปกติไตรมาส 1/50 คิดเป็น 22% ของประมาณการทั้งปี 50 ของเรา ซึ่งเราคาดว่าผลการดำเนินงานในช่วง 3 ไตรมาสหลังของปีจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอันเป็นผลบวกจากการฟื้นตัวของค่าระวางเรือเทกองตามตลาดโลก และการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง

- ความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าระวาง แม้เราได้เคยคาดว่าค่าระวางเรือเทกองในปีนี้มีแนวโน้มฟื้นตัวจากปี 49 (เนื่องจากความต้องการขนส่งสินค้าที่ยังเติบโตต่อเนื่อง ในขณะที่ปริมาณเรือใหม่ที่เข้าสู่ระบบกำลังมีอัตราการขยายตัวที่ต่ำลง) แต่ผลกระทบจากค่าระวางที่ผันผวนตามฤดูกาลยังคงมีอยู่ต่อไป ซึ่งหมายความว่าค่าระวางจะมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงไตรมาส 2-3 ของปีปฏิทิน ซึ่งเป็นเหตุผลให้เราแนะนำเก็งกำไรหุ้นกลุ่มเดินเรือเทกอง

.00020
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com