May 1, 2024   3:39:20 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > คุณภาพหุ้นปันผล 2550
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 16/02/2007 @ 09:20:55
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

หากคิดคำนวณอัตราผลตอบแทนของบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะพบว่า ภาพรวมของทั้งตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 4.13 เลยทีเดียวซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ทำให้นักลงทุนกลุ่มต่างๆ ยังสนใจเข้าลงทุนในตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง

เนื่องจากอัตราผลตอบแทนดังกล่าวที่ได้จากตลาดหุ้นเป็นระดับที่สูงกว่าการฝากเงินในธนาคารเป็นอย่างมาก รวมทั้งยังมีโอกาสได้กำไรจากส่วนต่างราคาหุ้นในยามที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงอีกต่างหาก และมักมีการเข้ามาไล่ซื้อหุ้นปันผลเป็นประจำทุกต้นปี

เมื่อมีการสำรวจคุณภาพหุ้นปันผล เดือนมกราคม 2550 ซึ่งรวบรวบจากหุ้นที่ให้อัตราเงินปันผลตอบแทน หรือ Dividend Yield มากสุดไปหาต่ำสุดพบว่า จำนวนหุ้นทั้งหมดที่มีอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ทั้งสิ้น 438 ตัว มีหุ้นที่มีความสามารถจ่ายเงินปันผลได้ถึง 315ตัว หรือคิดเป็นร้อยละ 72
เพียงแต่การนำเสนอข้อมูลดังกล่าวในครั้งนี้จะหยิบยกขึ้นมาเพียงหุ้น 100 อันดับแรกที่มีอัตราเงินปันผลตอบแทนสูงสุดเท่านั้น

เนื่องจากความสามารถในการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียน ถือเป็นเกณฑ์ในการวัดความสามารถในการทำกำไร และความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทต่างๆ ได้ดีที่สุดวิธีหนึ่ง เพราะเป็นการประกาศให้คนทั่วไปได้รับทราบว่า ผู้บริหารของบริษัทมีฝีมือในการจัดการที่ดีใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ และกลับคืนมาในรูปของผลประกอบการ

บริษัทที่มีอัตราจ่ายเงินปันผลปันผลตอบแทนในระดับสูงๆ ถือเป็นตัวเลขที่ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ภาคภูมิใจอย่างมาก เพราะจำนวนบริษัทที่เข้ามาจดทะเบียนมากขึ้น ไม่ได้ส่งผลกระทบในทางลบต่อความสามารถในการจ่ายเงินปันผล

ตรงกันข้ามกลับเพิ่มเสน่ห์ความน่าสนใจให้ตลาดหุ้นอีกทางหนึ่ง รวมทั้งเงินปันผลที่ประกาศจ่ายออกมายังบอกถึง ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทนั้นๆ และยังแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวของภาคธุรกิจเอกชนอย่างโดดเด่น แม้บางครั้งจะสวนทางกับราคาหุ้นในกระดานก็ตาม

น่าสังเกตว่าหุ้นส่วนใหญ่ที่ให้อัตราเงินปันผลตอบแทนสูงจะกระจุกตัวอยู่ในหุ้นขนาดเล็กสูงถึง 68 ตัว และหุ้นกลุ่มดังกล่าวมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดไม่ถึง 4,000 ล้านบาทโดยเห็นได้จาก 10 อันดับแรกของหุ้นที่มีอัตราเงินปันผลตอบแทนสูงสุด มีหุ้นขนาดเล็กติดอยู่ทั้งสิ้น 8 ตัวด้วยกัน และมีการให้อัตราเงินปันผลผลตอบแทนขั้นต่ำสูงถึงร้อยละ 12.50

ถึงกระนั้นหุ้นขนาดเล็กกลุ่มดังกล่าวก็มีข้อเสียอยู่ที่ เป็นกลุ่มหุ้นซื้อยากขายยาก เพราะหุ้นส่วนใหญ่ดันกระจุกตัวอยู่ในมือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ส่งผลให้หุ้นขนาดเล็กเป็นทางเลือกสุดท้ายที่นักลงทุนทั่วไป และนักวิเคราะห์จะพูดถึง

ส่วนหุ้นขนาดกลางที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ในระดับ 4,000 -8,000ล้านบาท มีด้วยกัน 14 ตัว ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ซึ่งมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดตั้งแต่ระดับ 8,000 ล้านบาทขึ้นไป มีอยู่ด้วยกัน 18 ตัว

สำหรับหุ้นที่ให้อัตราเงินปันผลตอบแทนสูงสุดอันดับ 1 คือ บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด(มหาชน) หรือ INET ให้ผลตอบแทนสูงสุด 16.67% แต่กระนั้นตัวเลขนี้ก็ไม่ได้วัดว่าหุ้นจะสามารถจ่ายปันผลได้เสมอไป เพราะเห็นได้จากผลการดำเนินงานงวด 9เดือน 2549 ที่ผลขาดทุนเป็น 2.27 ล้านบาท และยังเหลือผลประกอบการไตรมาสสุดท้ายที่ต้องติดตาม เพราะถ้าหากยังขาดทุน หุ้นรายนี้ก็มีลุ้นที่จะไม่จ่ายเงินปันผลก็เป็นได้

ส่วนอันดับ 2 คือ บริษัท แพ็คฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ PPC ให้ผลตอบแทนสูงสุดที่ระดับ 16.67% เช่นกัน แม้จะเป็นหุ้นที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงรองลงมา แต่ตัวเลขนี้ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าปี 2549 บริษัทจะจ่ายปันผลให้เหมือนกับปีที่ผ่านๆมา เพราะตัวเลขขาดทุนของบริษัทในงวด 9 เดือน 2549 เป็นจำนวน 54.17 ล้านบาท หุ้นรายนี้ก็น่าจะมีลุ้นว่าเงินปันผลจะไม่สูงเหมือนเช่นที่ผ่านๆมาได้เหมือนกัน

อันดับ 3 คือ บริษัท บางกอกแร้นช์ จำกัด (มหาชน) หรือ RANCH ให้ผลตอบแทนสูงสุดที่ระดับ 16.40%หากดูผลการดำเนินงานในรอบ 9 เดือน 2549 หุ้นรายนี้ยังทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดผลการดำเนินงานปี 2549 บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 463.04 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปี 2548 อยู่ที่ 369.08 ล้านบาท หุ้นรายนี้น่าจะเป็นที่ยังให้ผลตอบแทนดีเหมือนเคย

ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า หุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาในอันดับต้นๆตาราง ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นขนาดเล็ก ส่งผลให้มีหุ้นขนาดใหญ่เพียงรายเดียวเท่านั้นที่ติด 1 ใน 10 อันดับแรก นั้นคือบริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) หรือ RCL โดยให้ผลตอบแทนสูงสูดถึง 12.82%ขณะเดียวกันแม้หุ้น PTT ที่ถือเป็นหุ้นชั้นนำของนักลงทุนจะไม่ติดใน 100 อันดับแรก แต่การให้อัตราเงินปันผลตอบแทนยังอยู่ในระดับ 4.64% ก็ยังให้ผลตอบแทนสูงกว่าของธนาคารมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากนี้ยังพบอีกว่าหุ้น 100 ตัว มีกองทุนรวมติดเข้ามาด้วย แม้กองทุนเหล่านี้จะไม่ใช่หุ้น แต่ถ้าหากดูอัตราเงินปันผลตอบแทน ของแต่ละประเภทนับว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สูงพอสมควรเห็นได้จาก กองทุนรวมวายุภักษ์ หนี่ง ประเภท ก. หรือ VAYU1 ให้ผลตอบแทนสูงถึง 7.49%
เป็นกองทุนที่ตั้งขึ้นเพื่อระดมเงินทุนจากประชาชนทั่วไป โดยเป็นทางเลือกแก่ประชาชนในการออมเงิน และลงทุนและทำให้กระทรวงการคลังสามารถบริหารจัดการหลักทรัพย์ที่ถือครองอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยมีการการันตีให้ผลตอบแทนที่ 3% แต่เมื่อดูผลตอบล่าสุดนับว่าอยู่ในระดับสูงเกินเป้า

ถัดมาคือ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ยูโอบี อะพาร์ทเมนท์ หนึ่ง หรือ UOBAPF โดยให้อัตราเงินปันผลตอบแทน 7.01% ส่วน TIF1 คือ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยอินดัสเตรียล 1 ให้ผลตอบแทนสูงสุด 6.68% ตามมาด้วยกองทุนสุดท้ายคือ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์บางกอก หรือ BKKCP โดยให้ผลตอบแทนสูงสุดถึง 6.65%

ทั้งนี้ตัวเลขอัตราเงินปันผลตอบแทนที่แสดงข้างต้น น่าจะเป็นแนวทางที่ชี้ให้นักลงทุนรู้ว่า หุ้นตัวใดให้ผลตอบแทนดีในช่วงที่ผ่านว่าอยู่ในระดับใดเท่าใด และอย่าลืมว่าตัวเลขดังกล่าวไม่ได้บ่งบอกว่าหุ้นรายนี้จะให้เงินได้เสมอไป

ดังนั้นนักลงทุนต้องพิจารณาดูองค์ประกอบด้านอื่นด้วย เพราะอัตราผลตอบแทนในปี 2550 อาจไม่เป็นอย่างปีที่ผ่านมาก็เป็นได้

.00020




[/color:f2eebeae39">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com