April 30, 2024   7:05:47 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ได้เวลาหุ้นบล.แจกทรัพย์นักลงทุน
 

samjin
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 352
วันที่: 16/02/2007 @ 22:44:00
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ถึงเวลาหุ้นหลักทรัพย์โปรยเสน่ห์อีกรอบ หลังสถานการณ์ตลาดฯเริ่มคลี่คลาย คาดมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันปีนี้สูงกว่าปีก่อน แถมหากซื้อรอรับปันผลก็ยังคุ้มค่า PHATRA นำทีมให้อัตราปันผลตอบแทนปี 49 สูงถึง 9.52% สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก ด้าน BLS จ่อคิว คาดควักเงินปันผล 0.84 บาทต่อหุ้น ด้าน GBX บักโกรกพลิกเป็นขาดทุน ผู้บริหารหวังปีนี้พลิกเป็นกำไร เปิดแผนลุยลูกค้าสถาบัน-ต่างประเทศเพิ่ม

ที่ผ่านมาหุ้นหลักทรัพย์อาจได้รับความสนใจจากนักลงทุนน้อยลง หลังจากตลาดหุ้นมีปัจจัยลบเข้ามากระทบมากมายในช่วงปีก่อน ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายเบาบางลงไป ในขณะที่ช่วงต้นปี 2550 ก็ยังมีปัจจัยลบเข้ามากระทบอีกเป็นระยะ ทำให้ตลาดหุ้นไม่ไปไหน แถมการประกาศผลการดำเนินงานงวดปี 2549 ที่ผ่านมา กำไรของบริษัทหลักทรัพย์ต่างก็ปรับตัวลดลงหากเทียบกับปี 2548 ทำให้ช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากำไรของหลายบริษัทจะปรับตัวลดลง แต่โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ยังสามารถที่จะควักกระเป๋าจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นได้ ยิ่งในช่วงที่หุ้นปันผลเริ่มกลับมาได้รับความนิยม และมูลค่าการซื้อขายเริ่มกระเตื้องขึ้น จากแรงซื้ออย่างต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติ แหลังจากการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ต่างๆของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำให้ช่วงนี้หุ้นหลักทรัพย์กลับมามีเสน่ห์ขึ้นมาอีกครั้ง โดยหากเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนการจ่ายเงินปันผลของโบรกเกอร์อย่างเช่น บล.ภัทร (PHATRA) ที่อยู่ที่ 9.52% ยังถือว่าสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารพาณิชย์ที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับเพียง 4% กว่าๆเท่านั้น
นอกจากนี้นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ยังมีการคาดการณ์ว่า วอลุ่มการซื้อขายของตลาดโดยรวมในปีนี้เฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ 16,500 ล้านบาท/วัน เพิ่มจากปีก่อนที่อยู่ที่ 16,300 ล้านบาท/วัน และหากเหตุการณ์ต่างๆผ่อนคลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกฎเกณฑ์ของทางการหรือการเมืองที่น่าจะคลี่คลายโดยเฉพาะในช่วงปลายปีที่จะมีการเลือกตั้ง ยังเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หุ้นหลักทรัพย์น่าสนใจมากขึ้น

**สแกนหุ้นโบรกฯเกอร์ PHATRA ผลตอบแทนเจ๋งสุด
eFinanceThai.com สำรวจบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้มีการประกาศจ่ายเงินปันผลงวดปี 2549 รวมถึงการคาดการณ์จ่ายเงินปันผลของบริษัทหลักทรัพย์ที่ยังไม่ได้ประกาศมติคณะกรรมการพบว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้มีการประกาศจ่ายเงินปันผลไปแล้วและมีอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) สูงสุดคือ บล.ภัทร หรือ PHATRA มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 9.52% รองลงมาคือ ASP อยู่ที่ 5.82% และ BSEC อยู่ที่ 5.06%
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวถึงหุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์ว่า หากนักลงทุนที่ต้องการซื้อหุ้นหลักทรัพย์เพื่อรอรับเงินปันผล แนะนำหุ้น PHATRA และ BLS โดย PHATRA ได้กำหนดจ่ายเงินปันผลงวดสิ้นปี 2549 ที่อัตราหุ้นละ 2 บาท และได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไป 1 บาท ในขณะที่มองว่าผลประกอบการในปีนี้จะปรับตัวดีขึ้น แนะนำซื้อ ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 43 บาท
ในขณะที่หุ้น BLS คาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง ในอัตราหุ้นละ 0.84 บาท และผลประกอบการมีการเติบโตที่ดีเช่นกัน แนะนำซื้อ ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 13.60 บาท

ตารางแสดงการจ่ายเงินปันผลของบริษัทหลักทรัพย์
หลักทรัพย์ ราคาปิด16 ก.พ. เงินปันผล(บาท) อัตราเงินปันผลตอบแทน(%)
ASP 2.92 0.17 5.82
PHATRA 31.50 3.00 9.52
BSEC 2.96 0.15 5.06
UOBKH 4.90 0.12 2.44
KEST 18.50 0.87 4.70
BLS 12.00 0.84 7.00**
KGI 1.60 0.09 5.60**
ZMICO 3.80 0.13 3.42**
CNS 28.50 1.20 4.21
10.GBX งดจ่ายเงินปันผล

หมายเหตุ**หลักทรัพย์ที่ยังไม่ได้มีการประกาศผลประกอบการ ส่วนตัวเลขเงินปันผลเป็นการประมาณการของ บล.กรุงศรีอยุธยา

 กลับขึ้นบน
samjin
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 352
#1 วันที่: 16/02/2007 @ 22:44:46 : re: ได้เวลาหุ้นบล.แจกทรัพย์นักลงทุน
ทั้งนี้จากการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ส่วนใหญ่ต่างประสานเสียงให้ ซื้อ หุ้น PHATRA เนื่องจากมองว่าเป็น benchmark ของกลุ่มหลักทรัพย์ได้เป็นอย่างดี มีการกระจายรายได้ในหลากหลายธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากธุรกิจค้าหลักทรัพย์ วาณิชธนกิจและรายได้จากตลาดอนุพันธ์ ขณะที่ในส่วนของธุรกิจค้าหลักทรัพย์ก็มีฐานลูกค้าจากนักลงทุนต่างชาติอยู่มาก สามารถรักษามาร์เก็ตแชร์ได้ดีต่อเนื่อง พร้อมกับมีการคาดการณ์แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/50 ยังเติบโตดี แต่ก็ยังคงมองว่า PHATRA จะมีผลการดำเนินงานในปีนี้ ชะลอตัวจากปีก่อน เนื่องจากไม่มีงานขนาดใหญ่อย่างการเป็นที่ปรึกษาและแกนนำการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้น บมจ.โรงกลั่นระยอง และเบียร์ช้างเหมือนปีที่ผ่านมา โดยมีการประมาณการกำไรปีนี้ไว้ในช่วง 465-632 ล้านบาท
โดย บล.เอเชีย พลัส ให้ความเห็นว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของ PHATRA ใน Q1/50 คาดว่าจะออกมาดีขึ้นจากยอดคำสั่งซื้อขายของนักลงทุนสถาบันและต่างชาติ นอกจากนี้ยังมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลคาดว่าจะออกมาในระดับที่ดีประมาณ 3.5% ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมในปีนี้คาดว่าจะหดตัวจากปีก่อน แต่คงไม่มากนักโดยคาดว่าจะมีรายได้จากค่าธรรมเนียมประมาณ 320 ล้านบาท น้อยกว่าปีก่อนหน้าที่มี 496 ล้านบาท เนื่องจากปีที่แล้ว PHATRA รับรู้รายได้จาการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญของบมจ.โรงกลั่นน้ำมันระยอง(RRC)และบมจ.ไทยเบฟเวอเรจ(เบียร์ช้าง)
ส่วนกำไรสุทธิของ PHATRA ในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 531 ล้านบาทลดลงจากปี 49 ที่มีกำไร 719.5 ล้านบาท เพราะธุรกิจหลักทรัพย์ต้องอาศัย Sentiment จากตลาดฯโดยรวม
บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) ระบุว่า ก่อนหน้านี้ราคาหุ้น PHATRA ปรับตัวลงมามาก ดังนั้นราคาในปัจจุบันจึงมีโอกาสทำกำไรค่อนข้างมาก นอกจากนี้ PHATRA ยังมีฐานรายได้ที่ค่อนข้างกระจาย ประกอบกับในธุรกิจค้าหลักทรัพย์ก็มีฐานนักลงทุนต่างชาติอยู่จำนวนมาก ซึ่งประมาณการกำไรปี 50 ของ PHATRA ไว้ที่ 632 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มี 720 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าปีนี้รายได้ในส่วนของวาณิชธนกิจ คงจะไม่มีงานใหญ่เข้ามา แต่ก็ยังมองว่าธุรกิจค้าหลักทรัพย์ของ PHATRA มีการเติบโตที่ดี โดยมองเป้ามาร์เก็ตแชร์ปีนี้ไว้ที่ 6% และ PHATRA ก็ยังถือเป็น benchmark ของกลุ่มหลักทรัพย์ได้เป็นอย่างดี
บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ให้ความเห็นว่า PHATRA ได้เปรียบในการทำธุรกิจ เนื่องจากฐานลูกค้านักลงทุนต่างประเทศมีอยู่สูงและยังสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามประมาณการกำไรสุทธิของ PHATRA ในปี 50 อยู่ที่ 520 ล้านบาท ลดลง 27.7% เมื่อเทียบกับในปี 49 เนื่องจากคาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมจากการเป็นที่ปรึกษาและเป็นผู้จัดการการรับประกันการจัดจำหน่ายจะปรับตัวลดลงจากสภาพตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย และไม่มีดีลไอพีโอขนาดใหญ่
ส่วนบล.นครหลวงไทย ให้เหตุผลว่า PHATRA มีการกระจายรายได้ทางธุรกิจได้ดี โดยมีการรองรับการเปิดเสรีในอนาคต ส่วนธุรกิจด้านวาณิชธนกิจก็ยังแข็งแกร่งเป็นอันดับ 1 หากมองในแง่ของมูลค่า แม้ว่าปีนี้จะมีงาน IPO น้อยแต่เชื่อว่าดีลงานใหญ่ ๆ ที่ PHATRA ทำให้กับลูกค้าจะมีส่งผลให้มีธุรกิจที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ ในขณะที่ธุรกิจ derivative มองว่ายังเติบโตได้ดี มีการร่วมมือกับเมอร์ริล ลินซ์ ทั้งยังได้เป็น Market Maker ให้กับตลาดอนุพันธ์ด้วย โดยประมาณการรายได้ปี 50 ไว้ที่ 1,382 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 465 ล้านบาท
ด้านบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนิตี้ ประมาณการกำไรปี 50 ของ PHATRA ลดลง 12% เนื่องจากการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียม แต่คาดว่า PHATRA จะมีการกระจายรายได้ไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนมากขึ้น ทำให้ช่วยเพิ่มรายได้ดอกเบี้ย และเงินปันผลให้กับริษัทมากขึ้น ดังนั้น กำไรปี 50 จะอยู่ที่ 632 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 2.9 บาท และการกำหนดอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 95% ทำให้ PHATRA มีความน่าสนใจทั้งในแง่ ROE ที่ 18% และ Dividend yield ที่สูงถึง 10%
บทวิเคราะห์ระบุว่า PHATRA มีเงินสดใสมือประมาณ 2 พันล้านบาท และเงินลงทุนในตราสารหนี้และทุนอีกประมาณ 1.5 พันล้านบาท โดยคาดว่ารายได้ดอกเบี้ย เงินปันผล และกำไรจากการลงทุนจะคิดเป็น 13% ของรายได้รวมในปี 2550 และเป็น 15% ของรายได้ในปี 2551

**GBX ลุยหาลูกค้าสถาบัน-ตปท.เพิ่ม หวังดันงบปีนี้พลิกเป็นกำไร
ทั้งนี้ บมจ.โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ (GBX) รายงานผลการดำเนินงานงวดปี 2549 พลิกเป็นขาดทุนสุทธิ 11.6 ล้านบาท ขาดทุนต่อหุ้น 0.00938 บาท ลดลงร้อยละ 106.3 เมื่อเทียบกับปีก่อนที่กำไร 185.08 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.14974 บาท สาเหตุหลักมาจากสภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยรวมที่ลดลง และการลาออกของเจ้าหน้าที่การตลาด จนทำให้ต้องมีการปิดสาขาในระหว่างปีทำให้ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันของบริษัท ลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จาก 969.4 ล้านบาท เป็น 537.2 ล้านบาท
นายณัฐวุฒิ เขมะโยธิน กรรมการผู้จัดการ บมจ.โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ (GBX) เปิดเผยว่า คาดว่าในปี 50 ผลประกอบการจะสมารถพลิกกลับมามีกำไรได้ แม้ว่าในปี 49 จะขาดทุน 11.6 ล้านบาท หรือลดลง 106.3% โดยปีนี้จะมุ่งเน้นที่จะหาลูกค้าต่างชาติ และสถาบันเพิ่มขึ้น และขณะนี้ก็มีลูกค้าสถาบันมาเปิดบัญชีใหม่แล้วอยู่หลายบัญชี
ผู้บริหารชุดใหม่ของบล.โกลเบล็ก ได้ตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์ในธุรกิจหลักทรัพย์ไว้ที่ 2% ซึ่งที่ระดับนี้จะสามารถทำให้บริษัทฯได้รับผลกำไรแล้ว นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีการกระจายการหารายได้ด้วยการหันไปทำธุรกิจอนุพันธ์ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมงาน และคาดว่าจะสามารถยื่นขอใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจค้าอนุพันธ์ได้ใน Q1/50นายณัฐวุฒิ กล่าว

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ธุรกิจหลักทรัพย์คงจะต้องพึ่งภาวะตลาดโดยรวมด้วย ซึ่งขณะนี้ยังมีปัจจัยในเรื่องการเมืองที่ยังไม่นิ่ง ประกอบกับมาตรการกันสำรอง 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ยังกดดันอยู่ แต่เมื่อใดที่ภาวะตลาดฯดีขึ้น เชื่อว่าธุรกิจหลักทรัพย์ ซึ่งรวมถึง GBX จะกลับมาดีขึ้นได้เช่นกัน
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com