May 17, 2024   11:48:45 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้นแสบยังแสบสมชื่อ
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 05/03/2007 @ 09:45:16
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

หุ้นแสบยังเด็ดดวง แม้ผลประกอบการรวมปี49 ร่วง90% โดย BLISS นำทีม กำไรทรุดหนัก 435% DE ตามติดกำไรหดเกือบ 100% ขณะที่คู่หู PE-PT ควงแขนกำไรหดเหมือนกัน 69.78% และ 42.05% ตามลำดับ โดยPE-PT มาแรงสุดๆ ราคาหุ้นบวกต่อเนื่อง ขณะที่ DE-EMC-EVER ก็ฮ็อท หลังภาวะตลาดหุ้นยังไม่สดใส ไร้ปัจจัยบวกหนุน ส่งให้หุ้นเก็งกำไรยังน่าลงทุนสำหรับนักลงทุน ส่วนวงการ เชื่อปีนี้กำไรก็ยังไม่ฟื้น เหตุพื้นฐานคงไม่เปลี่ยนแปลง แนะหลีกเลี่ยงลงทุน แต่หากอยากเล่นต้องระมัดระวังสูง เพราะมีความเสี่ยง หมดปี 2549 ไปเรียบร้อยแล้ว และเริ่มต้นปีใหม่ 2550 หรือปีหมูทองมาแล้ว 2 เดือนเต็มๆ ในขณะที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนหลายบริษัทก็ทยอยประกาศออกมาแล้วเช่นกัน และหลายๆแห่ง หลายกลุ่มบริษัทต่างมีผลประกอบการลดลงเป็นส่วนใหญ่ หลังจากถูกภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ปัจจัยความไม่แน่นอนของการเมืองภายในประเทศกระทบ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่กำไรส่วนใหญ่ลดลง กลุ่มพลังงานโดยเฉพาะเครือ ปตท. ที่กำไรก็ปรับลดลงเช่นกัน รวมไปถึงกลุ่มสื่อสารคือกลุ่มชินคอร์ปที่ตัวเลขในปี 2549 ก็ไม่ได้ดีกว่ากันเท่าไหร่

นอกจากกลุ่มบริษัทจดทะเบียนที่กล่าวมาข้างต้นแล้วนั้น บริษัทจดทะเบียนที่หลายๆคน ติดตามและอยากรู้ไม่น้อยไปกว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาด หรือบางทีอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำก็คือ บรรดาบริษัทหุ้นแสบหรือหุ้นเก็งกำไรในตลาดฯ นั่นเอง เพราะคงปฏิเสธไม่ได้ว่าตลอดปี 2549 ที่ผ่านมา และมาถึงช่วง 2 เดือนของปีนี้ หุ้นในกลุ่มนี้ยังคงเป็นหุ้นยอดนิยมสำหรับนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นหุ้นที่มักจะถูกหยิบยกมาเล่นเสมอในยามที่ตลาดหุ้นไร้ปัจจัยที่น่าสนใจ หรือแม้แต่ในยามที่ภาวะตลาดรวมไม่สดใส หุ้นขนาดใหญ่หรือหุ้นบิ๊กแคปต่างปรับตัวลดลงกันหมด แต่หุ้นกลุ่มนี้ก็ยังสวนกระแสปรับขึ้นมาได้อยู่ตลอด โดยไม่สนว่าจะมีพื้นฐานสนับสนุนอย่างไร ขึ้นชื่อว่าเป็นหุ้นยอดนิยมไม่เสื่อมคลายสำหรับนักลงทุนไทยเลยทีเดียว


* 10 หุ้นแสบ ผลประกอบการรวมทรุด 89.54%
ดังนั้นในช่วงเทศกาลงบการเงินปี 2549 ที่กำลังทยอยประกาศออกมานั้น eFinanceThai.com จึงรวบรวมผลการดำเนินงานของหุ้นในกลุ่มนี้มา โดยล่าสุดนั้นมีการประกาศออกมาแล้ว 10 บริษัท ประกอบด้วย บมจ. อกริเพียว โฮลดิ้งส์ (APURE) บมจ. บลิส-เทล (BLISS) บมจ. ดี อี แคปปิตอล (DE) บมจ. อีเอ็มซี (EMC) บมจ. เอเวอร์แลนด์ (EVER) บมจ. เอ็นอีพี อสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรม (NEP) บมจ. นวนคร (NNCL) บมจ. แปซิฟิค แอสเซ็ทส์ (PA) บมจ. พรีเมียร์เอ็นเตอร์ไพรซ์ (PE) และ บมจ. พรีเมียร์ เทคโนโลยี (PT) ซึ่งปรากฎว่าเมื่อรวมผลประกอบการทั้ง 10 บริษัท มีกำไรรวมทั้งสิ้น 152.6 ล้านบาท ลดลงจากปี48 ที่มีกำไรรวม 1,458.98 ล้านบาท ลดลง 1,306.38 บาท หรือลดลง 89.54%



*BLISS นำทีม กำไรทรุดหนักสุด 435.39%
โดย BLISS ผลการดำเนินลดลงมากที่สุด จากกำไรปี48 ที่ 114.78 ล้านบาท เป็นขาดทุน 453.83 ล้านบาท มีกำไรลดลงถึง 435.39% รองลงมาคือ DE จากขาดทุนปี48 120.56 ล้านบาท มาเป็นขาดทุนเพิ่มขึ้น 237.74 หรือลดลง 97.19% PE มีกำไรปี49 ที่ 246.60 ล้านบาท ลดลงจาก 816.22 ล้านบาทในปี48 หรือลดลง 69.78% EVER มีกำไรปี49 ที่ 58.48 ลดลงจาก 171.15 ล้านบาทในปี48 หรือมีกำไรลดลง 65.83% และ PT มีกำไรปี49 ที่ 64.62 ล้านบาท ลดลงจากกำไร 111.52 ล้านบาทในปี48 หรือลดลง 42.05%

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผลประกอบการล่าสุดของบริษัทในกลุ่มนี้จะลดลง แต่ปรากฎว่าราคาหุ้นหลายบริษัทยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นสวนทางกับผลการดำเนินงานของบริษัท โดยเฉพาะ PT ที่ราคาหุ้นปิดเมื่อวานนี้ (1 มี.ค.) ปิดที่ 4.82 บาท เพิ่มขึ้น 0.80 บาท หรือ 19.90% มูลค่าการซื้อขาย 225.32 ล้านบาท ทั้งที่กำไรลดลง 42.05% ส่วน PE หุ้นปิดที่ 3.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท หรือ 6.06% มูลค่าการซื้อขาย 274.51 ล้านบาท โดยที่กำไรในปี49 ก็ลดลงเช่นกัน 69.78% ส่วนหุ้นตัวอื่นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นวานนี้ก็ประกอบด้วย หุ้น DE ปิดที่ 0.77 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท มูลค่าการซื้อขาย 25.75 ล้านบาท หุ้น EMC ปิดที่ 3.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.05 บาท มูลค่าการซื้อขาย 33.81 ล้านบาท หุ้น NEP ปิดที่ 7.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท มูลค่าการซื้อขาย 901,000 บาท หุ้น NEP-W1 ปิดที่ 2.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท หรือ 11.54% มูลค่าการซื้อขาย 1.33 ล้านบาท และหุ้น EVER ปิดที่ 2.76 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท มูลค่าการซื้อขาย 42.80 บาท

โดยเฉพาะหุ้น PE-PT นั้นปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมา ซึ่งจากการสำรวจราคาหุ้น ดังกล่าวนั้นตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค. 50 พบว่า PE ว่ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับาราคที่ 0.73 บาท มาอยู่ที่ 3.50 บาท วานนี้หรือคิดเป็นการเปลี่ยนแปลง 379.45% ส่วน PT ตั้งแต่วันที่ 26 ก.พ. 50 จนถึงวานนี้ มีการเปลี่ยนแปลงจากระดับราคา 3.08 บาท มาอยู่ที่ 4.82 บาท หรือคิดเป็นการเปลี่ยนแปลง 56.49%

มีเพียง APURE-BLISS-NNCL-PA เท่านั้นที่ราคาปรับลดลง โดย APURE ปิดที่ 1.48 บาท ลดลง 0.54 บาท มูลค่าการซื้อขาย 230.09 ล้านบาท หุ้น BLISS ปิดที่ 4.18 บาท ลดลง 0.02 บาท มูลค่าการซื้อขาย 5.96 ล้านบาท หุ้น NNCL ปิดที่ 3.32 บาท ลดลง 0.10 บาท มูลค่าการซื้อขาย 8.13 ล้านบาท และหุ้น PA ปิดที่ 5.20 บาท ลดลง 0.05 บาท มูลค่าการซื้อขาย 62,000 บาท [/color:214b88ff7e">[/size:214b88ff7e">


 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 05/03/2007 @ 09:46:31 :
[b:585999c863">หลักทรัพย์ กำไร(ขาดทุน)ปี 49 กำไร(ขาดทุน)ปี 48 เปลี่ยนแปลง(%)
APURE 7.42 10.48 -29.19
BLISS (453.83) 114.78 -435.39
DE (237.74) (120.56) -97.19
EMC 36.71 21.51 70.66
EVER 58.48 171.15 -65.83
NEP 79.93 55.41 44.25
NNCL 240.91 224.98 7.08
PA 109.50 53.49 104.71
PE 246.60 816.22 -69.78
PT 64.62 111.52 -42.05
รวม 152.6 1,458.98 -89.54

ที่มา : รวบรวมโดย eFinanceThai.com


*บล.เคทีบี ชี้ ปีนี้กำไรยังไม่ฟื้น เชื่อพื้นฐานยังไม่เปลี่ยน
นางสาวอรุณรัตน์ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี เปิดเผยว่า สาเหตุที่ผลประกอบการปี49 ของหุ้นเหล่านี้มีการปรับตัวลดลง คงจะต้องพิจารณาเป็นารายตัวไป แต่โดยภาพรวมนั้น น่าจะมาจากเรื่องของการเมือง ราคาน้ำมันที่ค่อนข้างผันผวน รวมถึงในปี 2549 นั้น รัฐบาลยังไม่มีโครงการใหญ่ที่เข้าช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างชัดเจน ประกอบกับยังมีเรื่องมาตราการกันสำรอง 30% ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น เข้ามาเป็นปัจจัยกดดันอยู่ จึงทำให้ผลประกอบการของบริษัทฯต่างๆ มีการปรับตัวลดลง แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยต่างนี้ จะมีผลกระทบมากน้อยเท่าใดต่อบริษัทฯเหล่านี้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละบริษัทฯนั้นอิงกับปัจจัยใดมากกว่า
ส่วนในปี 2550 มองว่า ผลประกอบการของหุ้นเก็งกำไรเหล่านี้คงไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมาเท่าไรนัก เพราะยังมองไม่เห็นปัจจัยบวกที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้น ส่วนในเรื่องของปัจจัยพื้นฐานที่กดดันอยู่ ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่ในทางเทคนิคก็ต้องอิงกับปัจจัยพื้นฐานอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำ นักลงทุนให้เข้าเก็งกำไร เนื่องจากการเก็งกำไรค่อนข้างมีความเสี่ยง แต่หากต้องการเข้าเล่นในช่วงระยะ 1-2 สัปดาห์นี้ให้ เก็งกำไรในหุ้นที่มีปันผล และพื้นฐานดี



* SCIBS ยังเตือนลงทุนหุ้นเล็กต้องระวัง-เหตุพื้นฐานไม่แจ่ม
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย กล่าวถึงกรณีราคาหุ้นขนาดเล็กมีแรงเก็งกำไรเข้ามาต่อเนื่อง ว่าแรงเก็งกำไรในหุ้นขนาดเล็กดังกล่าวเป็นผลจากนักลงทุนเข้ามาซื้อเก็งกำไรระยะสั้น ในช่วงที่ภาวะตลาดหลักทัรพย์ยังไม่มีปัจจัยข่าวดีกระตุ้นการลงทุน ซึ่งนักลงทุนที่เข้ามาซื้อหุ้นประเภทดังกล่าวอาจยังไม่มั่นใจในภาวะตลาดฯรวม จึงไม่ตัดสินใจลงทุนระยะยาวเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ แต่เลือกมาลงทุนหุ้นที่มีขนาดเล็ก ราคาหุ้นละ 1 -2 บาท ที่มีสัญญาณเทคนิคเป็นขาขึ้น

"จากปัญหาลบหลายด้าน นักลงทุนอาจไม่กล้าเข้าไปลงทุนในหุ้นบิ๊กแคป และหันไปเลือกลงทุนหุ้นเล็กราคาถูกแทน เพราะแม้หุ้นกลุ่มนี้จะไม่ได้มีผลต่อการเคลื่อนไหวดัชนีฯ แต่ก็เทคนิคดีและให้ผลตอบแทนได้ในการลงทุนระยะสั้นๆ" นักวิเคราะห์ กล่าว
ทั้งนี้ หากสนใจลงทุนในหุ้นเก็งกำไรขนาดเล็ก แนะนำให้ระมัดระวังการลงทุนให้มาก เนื่องจากสภาพคล่องของหุ้นมีไม่มาก ประกอบกับบางบริษัทฯมีพื้นฐานธุรกิจไม่ดี จากการที่ผลการดำเนินงานขาดทุน หรือความสามารถในการทำกำไรลดลง โดยด้านพื้นฐานแนะนำให้หลีกเลี่ยงลดความเสี่ยง

แต่หากสนใจลงทุนเก็งกำไรก็ใช้ความรอบคอบตัดสินใจ โดยสัญญาณเทคนิคให้ไว้เป็นกรอบแนวรับต้านเพื่อให้เป็นข้อมูลตัดสินใจลงทุน ซึ่งในส่วนของ EVER ให้แนวรับ 2.40 บาท และแนวต้าน 2.90 บาท ,DE ให้แนวรับ 0.75 บาท และแนวต้าน 0.80 บาท ,EMC ให้แนวรับ 2.86 บาท และแนวต้าน 3 บาท,SYNTEC ให้แนวรับ 1.04 บาท และแนวต้าน 1.10 บาท



[/size:585999c863">[/b:585999c863">
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com