May 16, 2024   3:03:08 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > วิเคราะห์สัปดาห์ +++++++
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 12/03/2007 @ 09:15:13
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยยังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันมากมายหลายเรื่องเช่นเดิม จนนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนต่างชาติหันมาเป็นผู้ขายสุทธิอีกครั้ง หลังมองว่าโอกาสที่ดัชนีจะไต่ระดับขึ้นไปสร้างแนวรับใหม่ที่สูงขึ้นกว่าเดิมมีน้อยมาก

โดยแรงเทขายส่วนใหญ่ยังกระจุกตัวอยู่ในหุ้นกลุ่มบลูชิพอย่าง แบงก์ พลังงานปิโตรเคมี และวัสดุก่อสร้าง ขณะที่หุ้นขนาดเล็กก็อาศัยข่าวพันธมิตรใหม่ และข่าวปรับโครงสร้างหนี้เป็นแรงขับเคลื่อนหลัก จนราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงอย่างน่าประหลาดใจ

ส่วนรูปแบบการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมายังเป็นไปในลักษณะเล่นเก็งกำไรสั้นๆ มากกว่าการซื้อลงทุนระยะยาวเหมือนเช่นก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นผลมาจากตลาดหุ้นยขาดปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามากระตุ้นการลงทุน

จากผลดังกล่าวทำให้ดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 670-680 จุดเป็นส่วนใหญ่ และมีโอกาสที่จะอ่อนตัวลงไปอีกเรื่อยๆ หลังสถาการณ์ทางการเมืองยังไม่มีอะไรดีขึ้น รวมทั้งการที่ตลาดหุ้นมีเรื่องราวทางด้านลบมากกว่าด้านบวก ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนเลือกเทขายหุ้นเพื่อตัดความเสี่ยงในการลงทุน

แม้จะมีการพูดและย้ำกันมาตลอดว่า ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดหุ้นที่ถูกสุดในโลก และให้ผลตอบแทนมากเป็นอันดับสองของโลก แต่เรื่องดังกล่าวกลับไม่สามารถเรียกความมั่นใจจากนักลงทุนได้แม้แต่นิดเดียว

เนื่องจากตัวเลขผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนทั้งตลาดฯลดลงไปกว่า 60,000 ล้านบาท หรือลดลงไปถึง 12% เป็นแรงกดดันหลักที่ทำให้นักลงทุนที่คิดจะเข้ามาเก็บหุ้นเพิ่มเติมไว้ในพอร์ตต้องชลอแผนออกไปอย่างไม่มีกำหนด

หากสังเกตให้ดีๆ จะรู้ว่า สภาพการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในตอนนี้ย่ำแย่เอามาก จนผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องเลื่อนแผนโรดโชว์ต่างประเทศ เพื่อดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยต้องเลื่อนออกไปถึง 2 เดือนด้วยกัน

ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้จึงดูไม่ดีเป็นอย่างมาก แต่ก็มีแนวรับสำคัญอยู่ที่ 660-650 จุดขณะเดียวกันก็มีแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 680-690 จุดด้วยเช่นกัน


 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 12/03/2007 @ 09:17:07 :
PTTCH: Spread โอเลฟินส์เริ่มลดลงหลังตรุษจีน - ขาย

สรุปประเด็นสำคัญ

- คงคำแนะนำ"ขาย" เพราะกำไรไตรมาส 1/50 มีแนวโน้มลดลง จากการหยุดซ่อมบำรุงโรงงานและขยายกำลังผลิตเป็นเวลา 40-72 วัน ทำให้บริษัทไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่จาก Spread ที่ดีขึ้นในปัจจุบัน และคาดกำไรจากการดำเนินงานสุทธิปี 50 จะลด 9% เพราะ Spread ที่ลดลง รวมทั้งราคาหุ้นปัจจุบันสูงกว่ามูลค่าพื้นฐาน 70 บาท (DCF, WACC 9.9% fully diluted)

- Spread ของเอทธิลีนและโพรพิลีนเริ่มลดลงต่ำกว่าระดับ 500 เหรียญ/ตันเมื่อกลางก.พ.ที่ผ่านมา หลังจากขึ้นไปที่ระดับสูงสุดของปีที่ 750 และ 598 เหรียญ/ตัน เมื่อกลางม.ค. 50

- แนวโน้ม Spread โอเลฟินส์สดใสในครึ่งปีแรก จากกำลังซื้อที่กลับมา Re-inventory และการเร่งสำรองสินค้าคงคลังล่วงหน้าก่อนที่จะมีการหยุดซ่อมบำรุงโรงโอเลฟินส์จนทำให้ Supply ในตลาดเอเชียลดลง 0.54 ล้านตันในไตรมาส 2/50

- PTTCH ไม่ได้ประโยชน์เต็มที่จาก Spread ที่ดี ในไตรมาส 1/50 เพราะหยุดซ่อมบำรุงโรงโอเลฟินส์ 40-72 วัน ซึ่งคาดว่าจะทำให้ปริมาณผลิตโอเลฟินส์ในไตรมาสดังกล่าวลดลงไปจากปกติประมาณ 1 เดือนและจะมีผลกระทบให้กำไรชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า

- คงประมาณการกำไรปี 50 ที่คาดว่าจะลด 9% เป็น 14.75 พันล้านบาท เพราะ Spread ที่คาดว่าจะลด 11% จากปีก่อนหน้า แม้จะมีกำลังผลิตเพิ่มตั้งแต่ไตรมาส 2/50 แต่ผลจากการหยุดโรงงานเพื่อซ่อมบำรุงและขยายกำลังผลิตกว่า 70 วันในไตรมาส 1/50 จึงคาดว่ากำไรทั้งปี 50 จะลดลงดังกล่าว

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#2 วันที่: 12/03/2007 @ 09:18:59 :
กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง : จะเดินหน้ารถไฟฟ้า 5 สาย แต่เริ่มดำเนินการก่อน 1-2 สาย - มากกว่าตลาด

นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ ยืนยันจะเดินหน้ารถไฟฟ้า 5 สาย ตามนโยบายเดิมที่ ครม. ให้ความเห็นชอบแล้ว แต่จะเริ่มดำเนินการก่อน 1-2 สาย ภายในปีนี้ เพราะรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลชั่วคราวเวลาทำงานไม่ถึง 1 ปี ส่วนสายที่เหลือจะให้รัฐบาลชุดต่อไปเข้ามาดำเนินการ

ความเห็นนักวิเคราะห์

- ช่วยคลี่คลายความวิตกกังวลได้ระดับหนึ่ง หลังการแถลงการณ์นโยบายของ รมว. คลัง เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทำให้ตลาดเข้าใจว่า รมว. คลัง จะลดจำนวนรถไฟฟ้าลงจาก 5 สาย เหลือเพียง 1-2 สาย

- แต่เป็นสัญญาณการประมูลรถไฟฟ้ามีโอกาสล่าช้า จากกรอบเวลาที่กำหนดไว้ คำสัมภาษณ์ของ รมว. คลัง ตอกย้ำว่า ปีนี้มีโอกาสเปิดประมูลรถไฟฟ้าได้ 1-2 สาย จาก 5 สาย ซึ่งสอดคล้องกับที่ผู้รับเหมารายใหญ่และเราคาดหมายไว้ก่อนหน้านี้ โดยสายที่มีโอกาสเป็นไปตามกรอบเวลามากที่สุด คือ สายสีแดง เนื่องจาก มีแหล่งเงินทุนมาจากในประเทศ ขณะที่สายอื่นยังต้องรอการอนุมัติเงินกู้จาก JBIC และยังติดปัญหาเรื่องรายละเอียดของแบบและการเวนคืนที่ดิน รวมถึงการดำเนินการตามขั้นตอนการร่วมทุน

- ความล่าช้าของการประมูลรถไฟฟ้าไม่มีผลต่อการดำเนินงานในปีนี้ เนื่องจาก ผู้รับเหมาใหญ่ ทั้ง 3 ราย ไม่ว่าจะเป็น CK, ITD และ STEC ซึ่งมีศักยภาพในการได้งาน มี Backlog รองรับการดำเนินงาน 1.5-2 ปี จากนี้

- ยังให้น้ำหนักการลงทุน "มากกว่าตลาด" เราคาดว่ากำไรกลุ่มผู้รับเหมารายใหญ่ฟื้นตัวก้าวกระโดดในปี 50 หลังจากปีก่อนประสบปัญหาต้นทุนบานปลายจนต้องสำรองจำนวนมาก หุ้น Top Pick เป็น CK (ราคาตามปัจจัยพื้นฐาน 11.9 บาท)


[/color:b911b72c7a">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#3 วันที่: 12/03/2007 @ 10:41:53 :
กลยุทธ์การลงทุน

รีบาวน์ยังไม่ยั่งยืน?ให้ขายทำกำไร
แนวโน้มตลาดวันนี้...มีโอกาสรีบาวน์ตามตลาดหุ้นในภูมิภาคหลังคลายความวิตกต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ประกาศเมื่อศุกร์ที่ผ่านมาดีกว่าคาด ไม่ว่าจะเป็น ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ก.พ. เพิ่ม 9.7 หมื่นตำแหน่งพร้อมกับปรับตัวเลขเดือน ม.ค.เพิ่มอีก 3.6 หมื่นตำแหน่ง อัตราการว่างงานเดือน ก.พ. ลดลง 4.5% อย่างไรก็ตาม เราเห็นว่าการรีบาวน์ในช่วงนี้จะมีได้จำกัด เนื่องจาก

1. ข่าวคณะกรรมธิการยกร่างรัฐธรรมนูญอาจจะเสนอให้นายกรัฐมนตรีไม่ต้องมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงขึ้น

2. ความวิตกต่อความไม่สงบในเขตกรุงเทพฯ หลังหน่วยงานด้านการข่าวในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ แจ้งเตือนการก่อเหตุร้ายในเขตกรุงเทพฯในช่วง 13-15 มี.ค. ซึ่งเป็นวันสถาปนากลุ่ม BRN และวันละหมาดใหญ่ในกรุงเทพฯ สอดคล้องกับทางการออสเตรเลียออกประกาศเตือนนักท่องเที่ยวของตนเป็นรอบที่ 2 ให้ใช้ความระมัดระวังในการท่องเที่ยวในไทย

3. ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอาจกลับทิศทางในระยะสั้น หลังดุลการค้าสหรัฐเดือน ม.ค. ขาดดุลน้อยกว่าที่คาดไว้เพียง 5.91 หมื่นล้านเหรียญ (จาก 5.97 หมื่นล้านเหรียญ) เราคาดว่านักลงทุนต่างชาติบางส่วนอาจใช้เป็นจังหวะในการขายทำกำไร เพื่อแลกกลับไปถือครองดอลลาร์สหรัฐอีกครั้ง
กลยุทธ์การลงทุน การรีบาวน์ยังไม่ยั่งยืน การดีดตัวขึ้นของดัชนีควรใช้เป็นโอกาสในการขายทำกำไรมากกว่าซื้อเพิ่ม การลงทุนในระยะนี้เรายังเน้นหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ
CK (FV11.9 บาท) - คลายความวิตกต่อโครงการรถไฟฟ้า หลังรมว.คลังยืนยันเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้า 5 สาย ตามเดิม ในแง่ผลการดำเนินงานยังมี Backlog กว่า 2.6 หมื่นล้านบาทรองรับ แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง
IRP (FV8.5 บาท) -ขยายกำลังการผลิตในไทยและสหรัฐ ช่วยผลักดันผลประกอบการในปี 50 ให้เติบโตกว่าเท่าตัว (ปัจจัยทางเทคนิคเริ่มมีสัญญาณซื้อ กรอบ 7.15 - 7.70 บาท)

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com