สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยยังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันมากมายหลายเรื่องเช่นเดิม จนนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนต่างชาติหันมาเป็นผู้ขายสุทธิอีกครั้ง หลังมองว่าโอกาสที่ดัชนีจะไต่ระดับขึ้นไปสร้างแนวรับใหม่ที่สูงขึ้นกว่าเดิมมีน้อยมาก
โดยแรงเทขายส่วนใหญ่ยังกระจุกตัวอยู่ในหุ้นกลุ่มบลูชิพอย่าง แบงก์ พลังงานปิโตรเคมี และวัสดุก่อสร้าง ขณะที่หุ้นขนาดเล็กก็อาศัยข่าวพันธมิตรใหม่ และข่าวปรับโครงสร้างหนี้เป็นแรงขับเคลื่อนหลัก จนราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงอย่างน่าประหลาดใจ
ส่วนรูปแบบการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมายังเป็นไปในลักษณะเล่นเก็งกำไรสั้นๆ มากกว่าการซื้อลงทุนระยะยาวเหมือนเช่นก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นผลมาจากตลาดหุ้นยขาดปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามากระตุ้นการลงทุน
จากผลดังกล่าวทำให้ดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 670-680 จุดเป็นส่วนใหญ่ และมีโอกาสที่จะอ่อนตัวลงไปอีกเรื่อยๆ หลังสถาการณ์ทางการเมืองยังไม่มีอะไรดีขึ้น รวมทั้งการที่ตลาดหุ้นมีเรื่องราวทางด้านลบมากกว่าด้านบวก ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนเลือกเทขายหุ้นเพื่อตัดความเสี่ยงในการลงทุน
แม้จะมีการพูดและย้ำกันมาตลอดว่า ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดหุ้นที่ถูกสุดในโลก และให้ผลตอบแทนมากเป็นอันดับสองของโลก แต่เรื่องดังกล่าวกลับไม่สามารถเรียกความมั่นใจจากนักลงทุนได้แม้แต่นิดเดียว
เนื่องจากตัวเลขผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนทั้งตลาดฯลดลงไปกว่า 60,000 ล้านบาท หรือลดลงไปถึง 12% เป็นแรงกดดันหลักที่ทำให้นักลงทุนที่คิดจะเข้ามาเก็บหุ้นเพิ่มเติมไว้ในพอร์ตต้องชลอแผนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
หากสังเกตให้ดีๆ จะรู้ว่า สภาพการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในตอนนี้ย่ำแย่เอามาก จนผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องเลื่อนแผนโรดโชว์ต่างประเทศ เพื่อดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยต้องเลื่อนออกไปถึง 2 เดือนด้วยกัน
ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้จึงดูไม่ดีเป็นอย่างมาก แต่ก็มีแนวรับสำคัญอยู่ที่ 660-650 จุดขณะเดียวกันก็มีแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 680-690 จุดด้วยเช่นกัน