May 17, 2024   4:04:01 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > กระซิบหน้าจอ
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 12/03/2007 @ 10:19:42
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

SET Index วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม 2550 ปิดที่ดัชนี 671.17จุด -0.81จุด มูลค่าการซื้อขาย 7,940 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 97.96 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 383.67 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 481.63 ล้านบาท SET Index ทำ High ที่ระดับ 673.98จุด +2.00จุด และ Low ที่ระดับ 670.69 จุด -1.29 จุด ดัชนีเมื่อศุกร์สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ ซึ่งตลาดภาคเช้าสามารถยืนบวกได้ตลอดการซื้อขายแต่หลังตลาดภาคบ่ายเปิดดัชนีก็ตกลงสู่แดนลบทันทีเนื่องจากมีแรงขายมากจากหุ้นเรือ PSL และหุ้นแบงค์ SCB ฉุดดัชนีตลาดตั้งแต่เช้า แต่ดัชนีก็ปรับลงเพียงนิดหน่อยเหมือนกันเนื่องจากช่วงนี้ไม่มีข่าวดีเข้ามา ในขณะที่การแถลงข่าวครั้งแรกหลังรับตำแหน่ง รมว. คลังคนใหม่ นายฉลองภพก็ยืนยันจะไม่ดำเนินมาตรการรุนแรงที่มีผลกระทบต่อตลาดทุนแต่ก็ยังยอมรับว่าประเทศไทยยังจำเป็นต้องมีมาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่เหมาะสม
และหากเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าจะเอื้ออำนวยต่อการพัฒนามาตรการใหม่ที่ช่วยรักษาเสถียรภาพและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ นักลงทุนจึงค่อนข้างระมัดระวังในการลงทุนอยู่มากวอลุ่มการซื้อขายก็เลยยังไม่ค่อยมี

KTECH
ราคาเปิด 1.35 บาท ราคาปิด 1.32 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3.48 ล้านบาท ขณะนี้ทางบริษัทได้ลงนามสัญญากับบริษัท ลาภประทาน จำกัด เพื่อก่อสร้างโครงการบลิซ เรสซิเด้นท์ ในงานโครงสร้างและงานสถาปัตยกรรม ซึ่งเริ่มดำเนินงานเมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ในปี 50 ทาง KTECH ตั้งเป้าที่จะเซ็นสัญญางานใหม่ประมาณ 6 ? 7 พันล้านบาท ทั้งนี้ปัจจุบัน KTECH เป็น Main Negotiator สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมที่พักอาศัยที่พัทยา แต่อย่างไรก็ตามงานดังกล่าวยังคงอยู่ระหว่างการเจรจาเท่านั้น ดังนั้นคาดว่าแนวโน้มการดำเนินธุรกิจของ KTECH ณ ตอนนี้แล้วจะทำให้มี Backlog ที่จะยกมาทำในปี 50 ประมาณ 5,200 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 1 ? 1.5 ปีข้างหน้าได้ และเมื่อรวมกับงานใหม่ที่เซ็นสัญญาเข้ามาในช่างต้นปีนี้มูลค่า 470 ล้านบาท
และงานที่รอเซ็นสัญญาอีก 400 ล้านบาท ส่งผลให้คาดว่ามีความเป็นไปได้ที่ KTECH จะมีรายได้เพิ่มขึ้นในปี 50 K.KRAZIP แนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" โดยมีแนวรับ 1.30 บาท แนวต้าน 1.40 บาท SALEE ราคาเปิด 2.78 บาท ราคาปิด 2.76 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2.24 ล้านบาท ความต้องการใช้ Hard

Disk Drive (HDD)
เติบโตในอัตราที่สูง มีผู้เชี่ยวชาญในตลาดโลกคาดการณ์ว่าอุปสงค์ของ HDD ขนาด 2.5 นิ้วจะเพิ่มขึ้นจาก 68.6 ล้านยูนิต ในปี 2548เป็น 81.7 ล้านยูนิต ในปี 2549 หรือเติบโต 19.1% ในปี2549 การส่งออกอิเลคทรอนิกส์ของไทยไปสู่ตลาดโลกเติบโต 17.4% สำหรับปี 2550 กรมส่งเสริมการส่งออกคาดการณ์ว่าการส่งออกอิเลคทรอนิกส์ของไทยจะขยายตัวต่อเนื่องอีก 15% สำหรับอัตราการใช้กำลังการผลิตของกลุ่มอิเลคทรอนิกส์ของไทยอยู่ในระดับสูง โดยเฉลี่ยของ 4Q49อยู่ที่ 78.1% และทั้งปี 49 เท่ากับ 76% ส่วน HDD จะมีอัตราการใช้กำลังการผลิตสูงกว่าค่าเฉลี่ย โดยอยู่ที่ 82% และ78.7% ตามลำดับ นับเป็นข่าวดีกับ SALEE ซึ่งมีบริษัทย่อย คือ เอสซี วาโด ดำเนินธุรกิจ HDD ขนาด 2.5 นิ้ว ซึ่งคาดว่ายอดขายจะเติบโตก้าวกระโดด 365% ในปี 2550 เพราะทำงบการเงินรวมเต็มปี และมีการขยายกำลังการผลิตเพิ่ม คาดว่าในQ1/50 จะพลิกมาเป็นกำไรสุทธิกว่า 10 ล้านบาท และคาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ "ซื้อ" แนวรับ 2.68 บาท แนวต้าน 2.84 บาท

SATTEL ราคาเปิด 7.45 บาท ราคาปิด 7.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 31.86
ล้านบาท ต้องคอยติดตามกันว่ารัฐบาลจะดำเนินการกับบริษัทในเครือชินวัตรต่อไปอย่างไร หลังจากจบเรื่องของ ITV ไปแล้ว คงหนีไม่พ้นกรณีการเตรียมยึดคืนสัมปทานดาวเทียม จาก SATTEL ซึ่งมีความเป็นได้ที่ดาวเทียมไทยคม4 หรือไอพสตาร์ อาจจะต้องถูกรัฐบาลยึดคืนได้เหมือนกับ ITV หลังจากตรวจพบว่าการยิงดาวเทียมดังกล่าวไม่ถูกต้องตามสัญญาที่กำหนดไว้ คาดว่าภายใน 1-2 เดือนนี้คงได้รู้กัน ว่า SATTEL จะแปลงร่างเป็นของรัฐบาลตาม ITV ไปติดๆหรือไม่ ใช่ว่าจะมีแต่ข่าวไม่ดีนะ ยังมีข่าวที่เป็นผลดีอยู่บ้าง คือ แว่วๆว่า จะมีเจ้าสัว และ เจ้าของหลายค่ายมีความสนใจที่จะเข้ามาซื้อหุ้นของ SATTEL ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ "ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว" แนวรับ 7.15 บาท แนวต้าน 7.75 บาท

NWR
ราคาเปิด 0.70บาท ราคาปิด 0.68บาท มูลค่าการซื้อขาย15.434 ล้านบาท จากการที่ NWR
แจ้งว่าได้ลงนามในสัญญาก่อสร้าง 3 โครงการมูลค่า รวม 412.18 ล้านบาทว่า การที่ NWR มีงานใหม่เข้ามาก็ย่อมส่งผลดีต่อผลประกอบการ และเป็นสัญญาณที่ดีในปีนี้ของNWR และยังมีโครงการที่ได้รับงานก่อสร้างอุโมงส่งน้ำประปามูลค่าโครงการ1,124ล้านบาทและทางNWR ตั้งเป้ารายได้รวมปีนี้ประมาณ 5 พันล้านบาท จากแบ็กล็อกที่มีในมือประมาณ 8.9 พันล้านบาท ขณะที่ปีนี้คาดว่าจะได้รับงานใหม่เพิ่มอีกราว 5 พันล้านบาท จากการเข้าประมูลงาน 1-2 หมื่นล้านบาท โดย 70-80%จะเป็นงานภาครัฐ ทั้งนี้บริษัทกำลังเจรจากับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการรับงานโครงการขนาดใหญ่ เช่นการก่อสร้างรถไฟฟ้าทั้งนี้ ในปี 2549 นั้นบริษัทมีผลการดำเนินงานขาดทุน 112 ล้านบาทซึ่งทางเราได้คาดการณ์ว่า ผลการดำเนินงานในปี 2550 นั้นบริษัทน่ามีผลการดำเนินงานที่พลิกเป็นกำไรได้เนื่องจากว่าเราดูจากงานในมือที่บริษัทได้รับจะรับรู้รายได้ในปี2550ดังนั้นเราจึงนะนำ
"ซื้อ" แนวรับ 0.68 บาท แนวต้าน 0.74 บาท

ที่มา ทันหุ้น[/color:3f4999dfb9">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com