May 17, 2024   3:26:23 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > กระซิบหน้าจอ
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 13/03/2007 @ 10:25:58
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

SET Index วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม 2550 ปิดที่ดัชนี 672.36จุด +1.19จุด มูลค่าการซื้อขาย 7,602 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 259.40 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 3.54 ล้านบาท
นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 262.94 ล้านบาท SET Index ทำ High ที่ระดับ 675.31จุด +4.14จุด และ Low ที่ระดับ 671.54จุด +0.37 จุด ตลาดวานนี้ยังคงเคลื่อนตัวไม่มากแกว่งตัวแดนบวกในกรอบแคบ ๆ เท่านั้น
วอลุ่มก็ยังคงเบาบางเนื่องจากไร้ปัจจัยบวกเข้ามากระตุ้น ในขณะที่ รมว.คลังคนใหม่ออกมากล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า
ภาวะเงินเฟ้อที่ปรับลดลงจะช่วยเอื้อต่อการใช้นโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดย "เงินเฟ้อที่ลดลงมีส่วนช่วยเยอะโอกาสที่จะใช้นโยบายการเงินกระตุ้นมากขึ้นและไม่มีปัญหาด้านเสถียรภาพและหากไม่มีแรงกดดันด้านราคาน้ำมัน" ซึ่งอัตราเงินเฟ้อของไทยได้ปรับตัวลงต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่นอกจากเรื่องเศรษฐกิจแล้วนักลงทุนยังคงมีความกังวลต่อสถานการณ์ความไม่สงบภายในประเทศทั้งในส่วนของภาคใต้และในกรุงเทพมหานคร อีกทั้งการเมืองที่ไม่ค่อยนิ่งด้วย ตลาดช่วงนี้จึงดูว่ามูลค่าการซื้อขายค่อนข้างจะซบเซาซึ่ง K.KRAZIP เองหวังว่าตลาดจะกลับมาสดใสคึกคักในไม่ช้านี้

NWR ราคาเปิด 0.68 บาท ราคาปิด 0.67 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3.06 ล้านบาท NWR ได้ลงนามในสัญญาก่อสร้างเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2550 กับการประปานครหลวง คือ งานก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำประปา และงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกัน ในถนนวงแหวนสายตะวันออก มูลค่าโครงการ 1,142 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 720 วัน นับจากวันได้รับแจ้งให้เริ่มงานจากผู้ว่าจ้าง การได้รับงานของ NWR มองว่าเป็นเรื่องดี ที่จะเป็นปัจจัยที่เสริมให้ NWRรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าเป็นโครงการที่ใช้ระยะเวลาก่อสร้างถึง 2 ปี และกว่าที่ NWRจะรับรู้รายได้น่าจะเป็นในปีหน้า ในปี 2549 นั้นบริษัทมีผลการดำเนินงานขาดทุน 112 ล้านบาท จากปี 2548 ที่ขาดทุน 116 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานในปี 2550 NWRน่ามีผลการดำเนินงานที่พลิกมาเป็นกำไรได้ ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" โดยมีแนวรับ 0.67บาท แนวต้าน 0.73 บาท

SPALI ราคาเปิด ? ปิด 3.48 บาท มูลค่าการซื้อขาย 10.24 ล้านบาท ได้คาดการณ์ยอดขายปี 2550 อยู่ที่ 8,800 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 7,076 ล้านบาท ซึ่งยอดขายที่เพิ่มขึ้นมาจากโครงการต่อเนื่องและโครงการใหม่ปีนี้ที่เตรียมเปิดอีก 8 โครงการ มูลค่าเบื้องต้นอยู่ที่ 6,140 ล้านบาท จำนวนรวม 3,660 ยูนิต
คาดว่ารายได้ของSPALIจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% หรือ 5.5 พันล้านบาท จากปี 2549 ที่มีรายได้ 4.69 พันล้านบาท
เนื่องจากมียอดขายที่มาจากโครงการต่อเนื่องและโครงการใหม่ที่เตรียมเปิดในปีนี้เพิ่มขึ้น ในปี 2549 SPALIอนุมัติจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.27 บาท ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท คงเหลืออีกหุ้นละ 0.12 บาท และได้คาดการณ์ผู้ถือหุ้นที่ถือ SPALI-W3 กว่า 100-200 ล้านหน่วย จะมีการแปลงสภาพวอร์แรนต์เป็นหุ้นสามัญหมดภายในเดือนนี้ เพื่อให้มีสิทธิได้รับเงินปันผลที่เตรียมจ่ายครึ่งปีหลัง (SPALI-W3 มีราคาแปลงสภาพที่ 1.5 บาทต่อหุ้น และจะครบกำหนดการใช้สิทธิในเดือนสิงหาคม 2551
) ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ "ซื้อ" โดยมีแนวรับ 3.46 บาท แนวต้าน 3.64 บาท

KTECH ราคาเปิดที่ 1.36 บาท ราคาปิดที่ 1.44 บาท มูลค่าการซื้อขาย 31.26 ล้านบาท KTECH วานนี้มีราคาปรับเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลังจากมีข่าวระบุว่า ตั้งแต่ต้นปี KTECH มีงานในมือรวม 900 ล้านบาท โดยได้ลงนามสัญญากับบริษัท บาราคาดา กรุ๊ป จำกัด เพื่อสร้างโครงการ เลอ สปาซ บูติก โฮเต็ล โดยมีมูลค่าสัญญา 255.60 ล้านบาท และมีระยะเวลาก่อสร้าง 11 เดือน จะส่งผลให้ KTECH มีมูลค่างานใหม่รวมประมาณ 878 ล้านบาท นอกจากนี้จากผลงานในมือที่ยกมาทำใปี 2550 รวมกับงานที่คาดว่าจะเข้ามาอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะส่งผลให้ KTECH มีกำไรเพิ่มขึ้นในปี 2550 ส่วนผลการดำเนินงานในปี 2549 มีผลขาดทุนสุทธิ 38.13 ล้านบาท ลดลงจากปี 2548 โดยมีสาเหตุหลักมาจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลง และเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการก่อสร้าง อย่างไรก็ตามบริษัทยังมีศักยภาพในการทำกำไร เนื่องจากมี Backlog ในมือสูง
K.KRAZIP มองว่าบริษัทมีโอกาสที่จะพลิกจากขาดทุนมาเป็นกำไรได้ในปี 2550 แนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" โดยมีแนวรับ 1.38 บาท แนวต้าน 1.52 บาท

PRO ราคาเปิด1.33 บาท ราคาปิด1.26 บาท มูลค่าการซื้อขาย33.11 ล้านบาท จากการที่ มีข้อการสรุปในการขายหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทจำนวน70 ล้านหุ้นซึ่งปัจจุบันมีนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้ความสนใจที่จะซื้อมากจนเกินกว่าจำนวนที่จัดสรรทำให้ตัวของPROโดดเด่นมากทั้งนี้มาจากการร่วมกับพันธมิตรใหม่นั้นจะเน้นการลงทุนในธุรกิจใหม่หวังเพิ่มช่องทางทำรายได้ ในขณะที่PROเองได้ดำเนินธุรกิจตัวใหม่คือการจัดการและรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์คาดว่ารายได้จะมีประมาณ 80%เป็นคาดว่ารายได้หลักของPROเพราะเนื่องจากว่าราคาอลูมิเนียมปรับตัวสูงขึ้นขณะที่ตัวโรงงานถลุงกับลดลงเป็นโอกาศที่ดีกับบริษัทและธุรกิจตัวใหม่นี้ไม่มีผลกระทบกับประชาชนหมือนธุรกิจเดิมดังนั้นจะทำให้บริษัททำงานได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้นและจากการออกหุ้นเพิ่มทุนนี้จะทำให้บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนมากขึ้นและมีที่พันธมิตรร่วมทุนประเด็นนี้จะทำให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจในการลงทุนและจะเป็นผลดีกับตัวของ PROเองที่มีผู้เชื่ยวชาญมาดูแลการทำธุรกิจตัวใหม่ของบริษัทดังนั้นคาดว่าในปีนี้จะทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้น แนะนำ "ซื้อ" โดยมีแนวรับ 1.31 บาท แนวต้าน1.43 บาท

ที่มา ทันหุ้น[/color:4831f2508d">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com