May 17, 2024   5:08:47 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้น
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 14/03/2007 @ 10:03:43
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บล.ธนชาตแนะนำซื้อ THAIราคาเป้าหมาย 49.00 บาทภายหลังเข้าพบผู้บริหาร THAI เรายังมั่นใจว่าผลประกอบการใน FY07 จะฟื้นตัว โดยผู้บริหารกล่าวว่า cabin factor ยังอยู่ในเกณฑ์สูงราว 82% ในม.ค.07 และ 79-80% ในก.พ.07 ส่วนราคาน้ำมัน jet fuel ในเดือน ม.ค.-ก.พ.07ที่อ่อนตัวลง 7% y-y จะช่วยให้ gross margin ใน 2QFY07 ปรับตัวสูงขึ้น และแม้เราจะปรับเพิ่มประมาณการกำไรในปี FY07 และ FY08 ขึ้นจากเดิม 25% และ 36%ตามลำดับ แต่เราได้รวมแผนการซื้อเครื่องบินทดแทน 8 ลำใน FY09-10 มูลค่า 34พันล้านบาทเข้าในการจัดทำประมาณการจึงทำให้ราคาเป้าหมายปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมเพียงเล็กน้อย ธุรกิจท่องเที่ยว และการเดินทางเพื่อธุรกิจช่วยให้ราคาหุ้นสายการบินในเอเชียปรับตัวสูงขึ้น แต่ราคาหุ้น THAI ยังเป็นlaggard เนื่องจาก SETอ่อนตัวลง และจากความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับเหตุการณ์ระเบิดช่วงปีใหม่ และทำให้ THAI ซื้อ-ขายที่ P/E ปี FY07 ที่ 9.5 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 12 เท่า นอกจากผลดีที่จะได้รับจากธุรกิจท่องเที่ยวของไทยที่เติบโตแล้ว การปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจของ THAI โดยการเปลี่ยนเครื่องบินให้ใหม่ขึ้น ทำให้สามารถดึงดูดผู้โดยสารกลุ่ม corporate passengersได้มากขึ้น

บล.ยูไนเต็ดแนะนำซื้อ DEMCOราคาเป้าหมาย 4.48 บาทด้วยความชำนาญงานวิศวกรรมไฟฟ้ากว่า 20 ปี ทำให้บริษัทได้รับการยอมรับทั้งภาครัฐและเอกชน ทำให้บริษัทเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยปัจจัยสำคัญในการผลักดันการเติบโตในอนาคตคือความต้องการไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งภาครัฐให้ความสำคัญ โดยงบลงทุนก่อสร้างระบบไฟฟ้าและเสาในช่วง 2 ปีนี้ สูงถึง 80,000 ล้านบาท ขณะที่บริษัทก็เตรียมความพร้อมในการเติบโต โดยการขยายกำลังการผลิตเสาไฟฟ้าและบ่อชุบ รวมทั้งจะเข้ารวมกับพันธมิตรเพื่อรับงานเสาไฟฟ้า 500KV สำหรับปี 50 นี้ Backlog ในมือกว่า 1,700 ล้านบาท ทำให้จะทำให้กำไรเติบโตอย่างน้อย 20% YoY โดยบริษัทคาดว่าจะขยายกำลังการเพิ่มขึ้นเท่าตัวผลิตเป็น 12,000 ตัน/ปี และขยายขนาดบ่อชุบให้ให้สามารถชุบเหล็กได้ยาว 9 เมตร (เดิม 4 เมตร) คาดว่าจะเสร็จในช่วงต้นปี 50 นี้ ซึ่งคาดว่าในส่วนการขยายกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นนึ้ จะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 200-250 ล้านบาท/ปี โดยโรงไฟฟ้า IPP ที่จะประมูลเร็วๆ นี้ช่วยเพิ่มโอกาสการเติบโตในปีหน้า ขณะที่ Backlog ในมือที่จะรับรู้กว่าจำนวนมาก จะทำให้รายได้ในปีนี้เติบโตและมีความมั่งคง ซึ่งเราประมาณการรายได้ปี 50(Conservative) จะอยู่ที่ 1,678 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.35% YoY และมีกำไร 121ล้านบาท (EPS 0.56 บาท/หุ้น)

บล.สินเอเซียแนะนำซื้อ CCETราคาเป้าหมาย 5.47 บาทด้วยแนวโน้มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่คาดว่าจะยังเติบโตต่อเนื่องคาดว่าจะส่งผลดีต่อผู้ผลิตที่เป็น EMS จากการที่ผู้ผลิตมีการ Outsource มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อ CCET เช่นกันโดยในปี 50 คาดว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคมการรักษาอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับใกล้เคียงปี 49 และการยังคงนโยบายการปรับปรุงการบริหารจัดการโรงงานอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้กำไรปกติเพิ่มขึ้น 16% YoY ปี 50 คาดกำไรปกติเติบโต 16% : คาดว่ารายได้จะเติบโต 13% YoY โดยปัจจัยที่ผลักดันการเติบโตจะมาจากการเติบโตของการผลิต PCBA สำหรับฮาร์ดดิสก์, การผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่สำหรับลูกค้าในอินเดียซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้เต็มที่ในช่วง 1Q50 , การเติบโตของMultifunction Printer และ Set Top Box ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะอยู่ที่ 5.0% ใกล้เคียงกับปี 49 และคาดว่านโยบายการปรับปรุงการบริหารจัดการโรงงานจะทำให้CCET สามารถรักษาระดับ SG&A/Sale ได้ที่ระดับเดียวกับปี 49 ที่ 1.54% ซึ่งจะเป็นผลให้กำไรปกติปี 50 เพิ่มขึ้น 16% YoY โดย ACLS ประเมินราคาพื้นฐานปี 50 ด้วยระดับ P/E ที่ 9 เท่า ได้ราคาพื้นฐานที่ 5.47บาท

บล.บีทีแนะนำซื้อ TICONราคาเป้าหมาย 21.80 บาทแม้ภาพรวมอุตสาหกรรมยังมีความเสี่ยงจากสถานการณ์ในประเทศ แต่คาดในระยะสั้น TICONได้รับผลดีจากผลประกอบการ Q1/50 ที่คาดมีแนวโน้มเติบโตดี และเงินปันผลที่ประกาศจ่าย 1.20 บาท(XD:4/4/50) คิดเป็น Div.Yield ประมาณ 7% ขณะที่ในระยะยาวคาดปี50 ยังเติบโตโดดเด่นจากจำนวนโรงงานที่ขายให้กับ T-Fund และพื้นที่ให้เช่าโรงงาน ในปี50 มีแผนเพิ่มพื้นที่ให้เช่าโรงงาน 30% : จาก 344,943 ตรม. (ไม่รวมพื้นที่ในส่วนของ T - Fund ที่ TICON บริหารอีกจำนวน 184,007 ตรม.) เมื่อสิ้นปี49 โดยกระจายในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ขณะที่โครงการ Logistic Park (บางนา กม.39) มีความคืบหน้าตามลำดับ โดยในปี50 มีแผนขยายพื้นที่ ประมาณ 50,000 - 60,000 ตรม.ปัจจุบันก่อสร้างเรียบร้อย ประมาณ 16,000 ตรม. และมีลูกค้าลงนามสัญญาแล้ว แต่อยู่ระหว่างยื่นขอสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก BOI คาดเริ่มรับรู้รายได้ H2/50 ส่วนโครงการLogistic ที่แหลมฉบังลูกค้าให้ความสนใจเช่นเดียวกัน โดยมีลูกค้าทยอยลงนามสัญญา คาดพื้นที่รวม ประมาณ15,000 ตรม. คาดในปี50 รายได้ค่าเช่ายังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องทั้งจากโรงงานและ คาดมูลค่าประมาณ 2,200 ล้านบาท คาดสัดส่วนประมาณ 50% เป็นการเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหน่วยเดิม คาดภายหลัง BOT ผ่อนคลายมาตรการกันสำรอง 30% ช่วยให้สถาบันต่างประเทศสนใจมากขึ้น และคาดผลการดำเนินงานของTICON ใน Q3/50 โดดเด่นสุดในรอบปี50 จาก Q1/50 ที่คาดว่ามีขายโรงงานไม่ต่ำกว่า 10 โรงงาน และการขายโรงงานครั้งที่ 3 ให้กับ TFUND คาดมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2,200 ล้านบาท รวมทั้งคาดรายได้จากการให้เช่าโรงงานและ Warehouse จำนวน1,052 ล้านบาท และรายได้รับเหมาก่อสร้างและสาธารณูปโภค จำนวน 52 ล้านบาท คาดรายได้จากธุรกิจหลัก 3,804 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 29%จากปี

ที่มา ข่าวหุ้น[/color:8d6c77c2d3">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com