May 17, 2024   4:51:18 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > กระซิบหน้าจอ
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 14/03/2007 @ 10:28:26
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

SET Index วันอังคารที่ 13 มีนาคม 2550 ปิดที่ดัชนี 675.20จุด +2.84จุด มูลค่าการซื้อขาย 11,403 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 301.30 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 204.28 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 505.58 ล้านบาท SET Index ทำ High ที่ระดับ 677.15จุด +4.79จุด และ Low ที่ระดับ 672.87จุด +0.51 จุด ดัชนีวานนี้เคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดการซื้อขาย โดยมีแรงซื้อเข้ามามากในหุ้นกลุ่มธนาคาร กลุ่มพลังงาน กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงหุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์ที่ดูเหมือนจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาบ้าง
แต่การที่ตลาดปรับขึ้นวานนี้ K.KRAZIP มองว่ายังไม่ได้มีนัยสำคัญอะไรเป็นการปรับขึ้นทางเทคนิคธรรมดาจากการที่ปรับตัวลงมาเยอะ เนื่องจากตลาดไม่ได้มีปัจจัยบวกใหม่ใดใดเข้า Support มีแต่เรื่องลบ ๆ
ที่ยังคอยกดดันดัชนีอยู่เท่านั้น ในขณะที่เรื่องการเมืองเริ่มกลับมาร้อนแรงอีกครั้งโดยรัฐธรรมนูญฉบับร่าง นายกฯ
คาดว่าจะเสร็จในวันที่ 6 ก.ค.นี้ และล่าสุดอดีตนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลและ คมช.
คืนอำนาจให้กับประชาชนโดยเร็วผ่านคลิปวีดีโอในเว็ปไซด์ hi-thaksin.net ทำให้วอลุ่มการซื้อขายยังมีไม่มากเนื่องจากนักลงทุนยังหันไปเก็งกำไรหุ้นเล็กเพราะความไม่มั่นใจในตลาดที่ผ่านมา

SPALI ราคาเปิด 3.48 บาท ราคาปิด 3.46 บาท มูลค่าการซื้อขาย 34.42 ล้านบาท SPALI มีการเปิดโครงการใหม่ 7 โครงการ เป็นคอนโดฯ 3 โครงการและ Low Rise อีก 4 โครงการ ดังนั้นมองว่าการลงทุนในหุ้น SPALI เป็นการซื้อลงทุนในระยะยาว เนื่องจากอัตราตอบแทนเงินปันผล 1 ปีข้างหน้าที่อยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม ประกอบกับ Backlog ปัจจุบันอยู่ในระดับที่สูงเพียงพอต่อการเติบโตของผลประกอบการในปี 50 และ 51
แต่อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นอาจจะได้รับผลกระทบจากการฟ้องร้องกรณีซื้อที่ดินพัฒนาโครงการที่เป็น Overhang ให้แก่ราคาหุ้นในระยะสั้น ในแง่ของการดำเนินธุรกิจ คาดว่าการพัฒนาโครงการใหม่ในปี 50 ให้ความสำคัญกับโครงการแนวราบเพิ่มขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดคอนโดมิเนียม ทั้งจากผู้ประกอบการรายเก่าและรายใหม่ และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลงที่จะส่งผลต่อการขายโครงการแนวราบ เพื่อสนับสนุนการรับรู้รายได้ได้เร็วกว่าคอนโดมิเนียม K.KRAZIP แนะนำ " ซื้อลงทุนระยะยาว" โดยมีแนวรับที่ 3.42 บาท แนวต้าน 3.62 บาท SYNTEC ราคาเปิด ? ปิด 1.03 บาท มูลค่าการซื้อขาย 13.37 ล้านบาท

SYNTEC พลิกกลับมามีกำไรในปี 2549 หลังจากที่ขาดทุนมา 2 ปีซ้อน ซึ่งมีกำไรสุทธิถึง 220 ล้านบาท
จากการขายเงินลงทุนในบริษัทสาทรเรียที่มีมูลค่าเงินลงทุนเป็นศูนย์ เนื่องจากได้เคยบันทึกค่าเผื่อด้อยค่าไปแล้วทั้งจำนวนที่ราคาขาย 35 ล้านบาท ได้รับเงินค่าขาย และมีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มอีก 9.91 ล้านบาท
ปัจจุบัน SYNTEC มี Backlog ที่ยกมาทำต่อในปี 50 ประมาณ 7,000 ล้านบาท และ Backlog ของโครงการบ้านเอื้ออาทรอีกกว่า 4,400 ล้านบาท และ SYNTEC ยังอยู่ระหว่างการเข้าร่วมประมูลงานอีก 27 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท ทำให้คาดว่ารายได้ของ SYNTEC ในปี 2550จะเติบโตแบบก้าวกระโดดมาอยู่ที่ 6,069
ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 80.62% YoY ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ ?ซื้อเก็งกำไร? แนวรับ 1.02 บาท แนวต้าน1.09 บาท

TSTH ราคาเปิด 1.15 บาท ราคาปิด 1.17 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3.33 ล้านบาท หลังจากทาทาสตีลเข้ามาถือหุ้นใหญ่ และนำเงินไปชำระคืนหนี้ระยะยาวก่อนกำหนด 2.4 พันล้านบาท ส่งผลให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายในปี 2550 คาดว่าจะลดลง 35% สามารถใช้เครือข่ายของทาทาสตีลส่งออกเหล็กไปต่างประเทศได้มากขึ้นมีโปรแกรมเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนในกระบวนการผลิตและลดต้นทุนวัตถุดิบ ปรับปรุงระบบการตลาด เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในประเทศ คาดว่า Norm Profit ปี 2550 จะเติบโตก้าวกระโดด 143% เป็น 990 ล้านบาท
โดยมาจากยอดขายและประสิทธิภาพในการผลิตที่ดีขึ้น และประมาณการว่าจะขยายตัวอีก 11% สำหรับผลประกอบการปี 2549 TSTH จะจ่ายเงินปันผล เท่ากับ 0.03 บาทต่อหุ้น XD วันที่ 4 เม.ย.50 ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ "ซื้อ" แนวรับ 1.15 บาท แนวต้าน 1.24 บาท

BECL ราคาเปิด23.10 บาท ราคาปิด23.30 บาท มูลค่าการซื้อขาย18 ล้านบาท จากการที่บริษัทประกาศตัวเลขปริมาณรถที่ใช้ทางด่วนในเดือน ก.พ. 2550 ในส่วนของทางด่วน BECL ทั้งระบบอยู่ที่ 9.54 แสนคันต่อวัน เพิ่มขึ้น 6% และ 5% ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นในอัตราที่ใกล้เคียงกันปริมาณรถอยู่ที่ 18.75
ล้านบาทต่อวัน การเติบโตของปริมาณรถที่ใช้ทางด่วนยังเป็นผลมาจากการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิ รวมทั้งการเติบโตของชุมชนเมืองโดยรอบสนามบิน โดยเฉพาะการเติบโตของปริมาณรถในส่วนของ Sector D ที่มีการเติบโตชัดเจนหลังสนามบินสุวรรณภูมิเปิดดำเนินการขณะที่ในส่วนของทางด่วนกรุงเทพเหนือ ( NECL) ยังได้รับปัจจัยบวกจากการก่อสร้างสะพานข้ามแยกบนถนนแจ้งวัฒนะบริเวณเมืองทองธานี ทำให้ผู้ใช้เส้นทางดังกล่าวเลี่ยงมาใช้ระบบทางด่วนทำให้ปริมาณรถในส่วนของ NECL ยังเติบโตต่อเนื่องอยู่ที่ 5.5 หมื่นคันต่อวัน 10% และ 3%ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นในอัตราที่ใกล้เคียงกันปริมาณรถอยู่ที่ 1.63 ล้านบาทต่อวัน K.KRAZIP คาดว่าบริษัทน่าจะจ่ายเงินปันผลปี 50 ที่ประมาณ 1 บาท/หุ้น และเป็นหุ้นที่เหมาะสำหรับการซื้อลงทุนยามภาวะเศรษฐกิจและเหตุการณ์ต่างๆ
ยังคงมีความไม่แน่นอนจึงส่งผลให้การลงทุนใน BECL มีความน่าสนใจ นอกจากนี้ อาจมีกำไรพิเศษจากการขายหุ้น TTW ในช่วง 2Q/50 จึงแนะนำ "ซื้อลงทุน" แนวรับ 23.10บาท แนวต้าน 23.60 บาท

ที่มา ทันหุ้น
[/color:35a99b86e4">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com