May 16, 2024   10:00:57 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > เขาว่า..หุ้น SECC "เสือกินเนื้อเสือ" จริงหรือ!
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 17/03/2007 @ 12:56:42
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

เกาะติดเทคนิคปลุกหุ้น "เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์" หลังจากแผนปั้นหุ้นสเต็ปแรกพลาดเป้า กระทั่งผู้บริหารต้องปรับโจทย์..เล่นข่าวเป็นรอบๆ ตั้งแต่การขายรถยนต์ไฮบริด แผนติดตั้งอุปกรณ์ NGV ขายรถมือสอง และล่าสุดเตรียมจับมือพันธมิตรใหม่เพื่อทำ "รถเช่า"


เส้นทางอนาคต บมจ.เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (SECC) กำลังเดินตามกระแสแฟชั่น เพื่อจุดประกายราคาหุ้นให้หวือหวา ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า หุ้นตัวนี้ "เสือคุม" เพราะมี "มาร์เก็ตเมคเกอร์" เป็นเซียนหุ้นมือพระกาฬ มีฐานบัญชาการอยู่ที่ "บล.บีฟิท"

ถ้าเอ่ยชื่อเซียนรายนี้ ใครๆ ก็ต้องเคยได้ยินชื่อ

ทุกครั้งที่มีแรงกระเพื่อมของ "ข่าว" ที่หลุดออกมาจากปาก "เสี่ยสมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์" เจ้าของบมจ.เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ คลื่นความถี่จะถูกส่งไปที่ "ราคาหุ้น" โดยอัตโนมัติ ผ่านกำลังซื้อของ "เซียนขาใหญ่" หน้าเดิมๆ ไม่กี่คน ที่วนเวียนเข้าออก

ทุบ..เก็บ..ชงข่าว..ลาก เล่นสลับกันไปมา

จนมีคำเตือนในวงการหุ้นว่า..ใครจะเข้า "ต้องระวัง" เพราะหุ้นตัวนี้มัน "เสือกินเนื้อเสือ"

แต่ถ้าใครอ่านรอบหุ้น "ขาด" ช่วงที่หุ้นถูก "ทุบ" ลงมาหนักๆ จะมีคนเข้ามา "เก็บ" จากนั้นไม่นานก็รอ "ข่าวดี" ได้เลย...ถ้าไม่โลภมาก และไม่จ่ายตลาดสายจนเกินไป เล่นหุ้นตัวนี้จัดว่า "ง่าย" ทีเดียว

แต่ถ้าราคาหุ้นถูก "ลาก..ขึ้นดอย" ไปแล้ว เพิ่งจะมี "ข่าวดี" หลุดออกมา ก็ให้ "รีบเผ่น" โดยด่วน เพราะรายการ "กระหน่ำ..ซัมเมอร์เซลส์" ใกล้เข้ามาแล้ว

ปัจจุบัน หุ้น "เซ็ก-ซี" นอกจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของ "เสี่ยสมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์" แล้ว ยังมีกลุ่ม "ศิริธัช โรจนพฤกษ์" เจ้าของตัวจริง บง.กรุงเทพธนาทร และ บล.บีฟิท ถือหุ้นอยู่เป็นจำนวนมาก

ถ้าไปย้อนดูหุ้นที่กระจายไอพีโอ จะพบชื่อนักลงทุนรายใหญ่ อาทิเช่น "ท.พ.ยรรยง พันธุ์วงศ์กล่อม" และ "ไพฑูรย์ ผลกิจ" 2 นักลงทุนรายใหญ่แห่ง บล.บีฟิท ถือหุ้นอยู่ด้วย

ด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่าง ทำให้ "เซ็ก-ซี" เป็นหุ้นอีกตัวหนึ่งที่หากใครคิดจะเข้า "ถ้ำเสือ" เพื่อไปขโมย "ลูกเสือ" ก็รอให้ "แม่เสือ" ออกไปหาอาหาร ไปหากินกับหุ้นตัวอื่นเสียก่อน ในไม่ช้าก็จะกลับมาหาลูก "บึดจั้มบึด" เหมือนเดิม

นี่คือ "นิสัย" (สันดาน) ของหุ้นตัวนี้ที่ต้อง "อ่าน" ให้ขาด

เมื่อไปถาม สมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์ ประธานกรรมการ บมจ.เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ เกี่ยวกับเรื่องหุ้นของเสี่ย ได้รับคำชี้แจงว่า สาเหตุที่ราคาหุ้นมีการเคลื่อนไหวค่อนข้างหวือหวา อาจเป็นเพราะนักลงทุนบางกลุ่มที่ขายหุ้นออกมา อาจยังไม่มีความเข้าใจ หรือยังไม่ได้ศึกษาข้อมูลของแผนการดำเนินงานปี 2550 ของบริษัท

หลายคนคิดว่าเศรษฐกิจอย่างนี้ ตลาดรถหรูจะกระทบ..แต่จริงๆ แล้วแทบไม่กระทบเลย แต่กลับเป็นตลาดรถยนต์ราคาถูกเสียอีกที่ได้รับผลกระทบ และเป็นเหตุให้คนกลุ่มนี้ขายหุ้นเราออกมา

"เมื่อมีคนขาย..เดี๋ยวก็ต้องมีคนซื้อ มันจะเป็นไปตามกลไกของตลาด" สมพงษ์ส่งสัญญาณ

ประธาน เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ มองภาพอนาคตของหุ้น SECC ไว้ด้วยว่า ที่จริงอยากให้เป็นเหมือนต้นไม้ที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นไป และมีพื้นฐานแน่น..แต่คนปลูกก็ต้องหมั่นรดน้ำพรวนดิน ซึ่งเราเองก็ไม่อยากที่จะไปเร็วเกินไปโดยเฉพาะในช่วงภาวะเช่นนี้

..แต่ถ้าสตาร์ทได้ก่อนในจังหวะนี้ เมื่อเศรษฐกิจกลับมา เราก็จะยิ่งได้เปรียบและธุรกิจจะสามารถโตได้เร็ว

อย่างไรก็ตาม มีนักลงทุนรายใหญ่บางราย เคยปรามาสหุ้น SECC ไว้ว่า..หุ้นตัวนี้ทำยังไง ราคาก็ไม่ขึ้น!!

"ก็แล้วแต่ทัศนคติ ตรงนั้นผมคงไม่ใส่ใจเท่าไร และไม่ได้หนักใจอะไร เพราะมีหน้าที่ในการบริหารงานให้ดีที่สุด เพื่อให้เป็นไปตามเป้า"

เขามีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า ตราบใดที่ยอดขายรถของบริษัทไม่ตก แล้วราคาหุ้นมันจะตกได้ยังไง!

ยิ่งภายในเดือน "เมษายน 2550" บริษัทจะเริ่มทำ "ยูสคาร์" ระดับพรีเมียม..เป็นครั้งแรก โดยจะเป็นรถที่นำมาจากลูกค้าที่เคยซื้อรถไป แล้วนำรถคันเดิมมาเปลี่ยน(เทิร์น)รถคันใหม่...ส่วนนี้ถือเป็นการเพิ่มความคล่องตัวให้กับลูกค้า และขณะนี้บริษัทกำลังอยู่ในแผนทำ "รถเช่า" โดยจะทำร่วมกับพันธมิตรรายหนึ่ง

"ผมเป็นคนขายรถ จึงไม่ต้องยึดกับรถโมเดลเดิมๆ หรือวิธีการเดิมๆ ต้องเปลี่ยนเทคนิคตลอดเวลา ..แล้วคอยดูผลงานของ(หุ้น)เราในปีนี้แล้วกัน"

เขาบอกว่า บริษัทเคยพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เคยผ่านประสบการณ์ในช่วงวิกฤติมาแล้ว อย่างเมื่อปี 2541-2543 ช่วงที่เศรษฐกิจลงมากๆ แต่บริษัทมียอดขายโตสวนตลาด

"...จำไว้คนรวยยังไงก็ยังรวย" สมพงษ์ชี้แจง ก่อนจะกล่าวต่อว่า

สำหรับปี 2550 ที่คนส่วนใหญ่มองว่า เศรษฐกิจที่ย่ำแย่และจะส่งผลต่อตลาดรถยนต์ระดับหรู แต่กลับกัน เพราะช่วงนี้คนจะไม่นำเงินไปลงทุน เพราะผลตอบแทนต่ำ ..ซึ่งคนบางกลุ่มจะหันมาซื้อรถยนต์ก็มี แต่ทีมผู้บริหารบริษัทก็ต้องพยายามที่จะทำอะไรใหม่ๆ เพื่อให้ผลงานที่ออกมา สวนทางกับปัจจัยลบให้ได้

ตรงนี้เอง บริษัทจึงพยายามมองหาโครงการใหม่ๆ เพื่อมาต่อยอดรายได้ ซึ่งตัวผมเองก็อยู่ระหว่างรอสรุปผลการเจรจากับพันธมิตร เพื่อเพิ่มธุรกิจนำรถยนต์ระดับพรีเมียมมาให้เช่า..นี่ก็คืออีกวิธีในการขยายช่องทางของรายได้

โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีจากนี้ ตลาด "รถให้เช่า" จะมีการขยายตัวอย่างมาก และรายอื่นๆ ก็พยายามไปทางนั้น

"เมื่อผลการเจรจาได้ความชัดเจน เราจะนำเข้าที่ประชุมกรรมการ เพื่อขอมติจากที่ประชุมต่อไป โดยเชื่อว่าน่าจะสามารถสรุปแผนได้ในเร็วๆ นี้" สมพงษ์อธิบายขั้นตอน

ส่วนรถยนต์ที่จะนำมา "ปล่อยเช่า" ต้องไม่ลืมว่า ปี 2550 นี้ จะเป็นครั้งแรกที่ "เอส.อี.ซี." จะเริ่มเปิดดำเนินธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ประเภท "ยูสคาร์" (รถยนต์มือสอง) ซึ่งจำนวนรถยนต์ในพอร์ต (รถเช่า) ส่วนหนึ่ง จะได้มาจากลูกค้าเดิมที่นำรถยนต์มาเทิร์น...เพื่อถอยรถใหม่ไปจากโชว์รูม

เพราะฉะนั้น "รถใหม่" ก็ขายได้ ส่วน "รถมือสอง" บริษัทก็จะนำไปบริหารเพื่อให้เกิดเป็นรายได้ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการจำหน่าย รวมถึงปล่อยให้เช่า ซึ่งโปรเจคนี้จำเป็นต้องอาศัยแรงสนับสนุนจากพันธมิตรใหม่ด้วย

ส่วนยอดขายของบริษัทปีนี้ เสี่ยสมพงษ์คาดว่าจะไม่น้อยกว่าปีก่อนแน่นอน เพราะดูแค่ยอดขายเดือน "มกราคม-กุมภาพันธ์ 2550" ที่ผ่านมา ก็มีตัวเลขสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเสียอีก

"ผมยังเชื่อว่าตัวเลขไตรมาส 1 ที่ออกมา จะดีกว่าปีที่แล้วถึงกว่า 10% ทีเดียว และตลอดปี 2550 น่าจะสามารถปิดตัวเลขการขายได้ไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาท"

-----------------------------

 กลับขึ้นบน
P_aud
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 531
#1 วันที่: 19/03/2007 @ 10:16:02 :
:) ขอบคุณค่ะ ท่านอาฟง คราวหน้าถ้าจะขโมยกินเนื้อเสือ

จะได้ระวังๆๆ ไว้ ให้หนักๆ ค่ะ แฮ่ะๆๆ ชอบกินด้วยเสือตัวนี้ :roll: [/color:be2ae01ff2">
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com