Toon
สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 973 |  วันที่: 19/03/2007 @ 11:00:00 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต ที่มา : วีระชัย ครองสามสี
หัวคอลัมน์ : Systematic Risk ยังคงกดดันตลาด
โดยแนวโน้มของตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้น่าจะไปไหนได้ไม่ไกลนัก โดยผลกระทบจากความไม่แน่นอนทั้งจากภายใน และภายนอกประเทศจะเป็นปัจจัยที่กดดันตลาดในสัปดาห์นี้ต่อไป โดยเฉพาะปัญหาทางด้านการเมืองภายในประทศ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ทวีความรุนแรงขึ้น และความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจเริ่มตกต่ำลง ประกอบกับนโยบายเศรษฐกิจที่ยังไม่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าที่ล่าสุดมีแนวโน้มว่าทางเจบิดอาจจะไม่ปล่อยกู้ ขณะที่ค่าเงินบาทก็แข็งค่าขึ้นสูงสุดในรอบ 9 ปี จะเป็นปัจจัยที่จะกดดันตลาดในสัปดาห์นี้ ซึ่งเมื่อบวกเข้ากับประเด็นในเรื่องของการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ หลังจาก IMF คาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 4.9% ชะลอลงจากปีที่ผ่านมา ซึ่งขยายตัวในอัตรา 5.3% นอกจากนี้ตลาดยังคงมีความกังวลต่อเนื่องในเรื่องความอ่อนไหวของเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากตัวเลขการ Default ในตลาด Subprime Loan หรือตลาดการปล่อยกู้จำนองให้แก่ลูกหนี้ที่ขาดความน่าเชื่อถือของสหรัฐที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับในสัปดาห์ที่ผ่านมามีการประกาศตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐฯ ในปี 2549 ที่ขาดดุลสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 หลังมีเงินทุนไหลออกสุทธิเป็นครั้งแรกในรอบ 77 ปี ทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐยังคงเผชิญกับปัญหาขาดดุลแฝด(Twin Deficit) ต่อไป ซึ่งจากความไม่แน่นอนดังกล่าวประกอบกับการที่ Fed จะมีการประชุม FOMC และ BOJ จะมีการประชุม MPM เพื่อกำหนดนโยบายดอกเบี้ย ในสัปดาห์นี้ ทำให้มีความเป็นไปได้ที่นักลงทุนจะชะลอการลงทุนในช่วงนี้เพื่อรอความชัดเจนจากปัจจัยดังกล่าว ดังนั้นแนวโน้มของตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ การเคลื่อนไหวของดัชนีน่าจะอยู่ในกรอบแคบๆบริเวณ 670-680 จุด ในลักษณะ Side Way ออกข้าง ขณะที่สัญญาณทางเทคนิคยังไม่มีสัญญาณของการ Reversal ที่ชัดเจน โดยดัชนีมีแนวต้านสำคัญบริเวณ 675-680 จุด ขณะที่แนวรับคือบริเวณ 670 จุด ซึ่งถ้าในแนวรับดังกล่าวดัชนีไม่สามารถยืนได้ดัชนีมีโอกาสลงไปทดสอบบริเวณ 665 จุดต่อไป
กลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์นี้ จากการที่ตลาดยังคงถูกกดดันจาก Systematic Risk ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ Market Risk, Political Risk หรือแม้กระทั้ง Currency Risk ซึ่งถือได้ว่าเป็นความเสี่ยงที่ไม่นักลงทุนมาสามารถหลีกเลี่ยงได้ ทำให้นักลงทุนที่หวังผลตอบแทนในรูปของ Capital Gain จะค่อนข้างเหนื่อยพอสมควร ดังนั้นในการลงทุนระยะสั้น นักลงทุนไม่ควรเพิ่มพอร์ตการลงทุนในช่วงนี้ ส่วนการลงทุนในระยะกลาง-ยาว นักลงทุนควรถือโอกาสที่ดัชนีมีโอกาสปรับตัวลง และเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆปรับพอร์ตการลงทุนโดย Switch จากหุ้นในกลุ่ม Cyclical Company เข้าสะสมหุ้นในกลุ่ม Defensive Company หรือ Growth Company ที่พื้นฐานดี และราคายังปรับขึ้นไม่มาก โดยแนะนำหุ้นในกลุ่มได้ประโยชน์จากทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง และค่าการกลั่นที่ปรับตัวสูงขึ้น เช่น RRC มีแนวรับ 17.70/17.40 บาท แนวต้าน 18.00/18.30 บาท และมีจุดถอยบริเวณ 17.00 บาท LPN มีแนวรับ 5.80 บาท แนวต้าน 6.20 บาท และมีจุดถอยบริเวณ 5.65 บาท โดยในส่วนของการเก็งกำไรควรรอให้ดัชนีสามารถยืนเหนือบริเวณ 675 จุดได้ โดยแนะนำหุ้น SAT มีแนวรับ 9.90 บาท แนวต้าน 10.50 บาท และมีจุดถอยบริเวณ 9.85 บาท ASIMAR มีแนวรับ 0.94 บาท แนวต้าน 1.03 บาท และมีจุดถอยบริเวณ 0.92 บาท โดยตลาดมีจุดตัดขาดทุน(Cut Loss) เมื่อดัชนีทำ New Low หลุด 665 จุด[/size:098b5a0107">
|
