May 16, 2024   2:49:01 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > 6 เดือน SET INDEX ร่วงกว่า 30 จุด มาร์เก็ตแคปสูญ 8.3 หมื่นลบ
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 19/03/2007 @ 23:15:24
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

6 เดือนของรัฐบาล งานด้านเศรษฐกิจส่อแววไม่รุ่ง ตลาดหุ้นร่วงระนาวกว่า 30 จุด มาร์เก็ตแคปสูญกว่า 8 หมื่นล้านรายย่อยหยุดเทรด ด้านตลาดเงินผันผวน แก้วิกฤตค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วเกินกว่าเหตุไม่ได้ วัดฝีมือรัฐบาล สุรบยุทธ์ จากนี้อีก 6 เดือนก่อนการเลือกตั้ง เศรษฐกิจ-สังคมจะฟื้นหรือไม่ ด้านโบรกเกอร์ชี้นลท.ชะลอการลงทุน เพราะไม่เชื่อมั่นสถานการณ์การเมือง แนะเก็บหุ้นพื้นฐานดีอย่าง PTT-PTTEP ตุนไว้ดีกว่า

บทพิสูจน์ความสำเร็จของรัฐบาลยุครัฐประหารคราวนี้ดูไม่น่าประทับใจนัก เพราะตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศในช่วงปลายเดือนก.ย.49 จนถึงปัจจุบัน ภาพที่สะท้อนออกมาดูท่าจะย่ำแย่กว่ารัฐบาลชุดเดิม ปัญหาหลากหลายเรื่องที่รุมเร้าทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศมีอาการน่าเป็นห่วง ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่หลายแห่งแทยไม่มีคนเดินในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ลอบวางระเบิดกรุงเทพมานครในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา ศูนย์กลางค้าเซ็นทรัล เวิลด์ ซึ่งได้ปรับปรุงตัวห้างใหม่โดยทุ่มเงินลงทุนถึง 2.6 หมื่นล้านบาท ถึงกลับต้องปรับลดค่าเช่าพื้นที่ลงถึง 50% เพื่อความอยู่รอด ขณะที่บรรดาผู้ค้าปลีกขนาดใหญ่อย่างเทสโก้-บิ๊กซี เองก็ออกมายอมรับว่า ยอดการใช้จ่ายต่อคนของลูกค้าลดลง นอกจากนี้ ภาคเอกชนส่วนใหญ่เริ่มชะลอการลงทุน เพราะความไม่แน่นอนด้านนโยบลายของรัฐบาล ซึ่งผลพ่วงที่จะตามมาคือการจ้างงานที่จะปรับตัวลดลง

ขณะที่ธุรกิจโฆษณานั้นดูเหมือนว่าเม็ดเงินโฆษณาในระบบจะอันตรธานหายไปโดยที่หลายคนทราบดีว่า "เพราะเหตุใดเม็ดเงินโฆษณาในระบบจึงเหือดหาย??" จากข้อมูลการสำรวจการใช้เงินโฆษณาในสื่อวิทยุ 36 คลื่นในกรุงเทพมหานครพบว่าใน เดือนม.ค. 50 เม็ดเงินโฆษณาหายไปแล้ว 11.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากเดิมรายการวิทยุจะมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 400-500 ล้านบาท แต่ล่าสุดเมื่อเดือนม.ค.50 รายได้กลับลดลงเหลือเดือนละ 300 ล้านบาท สาเหตุหลักเพราะผู้ประกอบการทั้งหลายต่างตัดงบทางด้านโฆษณา และหันมาใช้วิธีการลดราคาสินค้าเพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาดและกระตุ้นยอดขายแทน

ด้านดัชนีชี้วัดความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทยอย่างเราๆอย่าง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือที่เรารู้จักกันดีคือ "มาม่า" พบว่า ปัจจุบันยอดขายมาม่าที่ราคาเพียงซองละ 5 บาทชะลอตัว ส่วนธุรกิจบัตรเครดิต แม้ปริมาณบัตรใหม่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่ยอดสินเชื่อคงค้างกลับลดลง เพราะผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย ขณะที่สถาบันการเงินเริ่มที่จะระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นเช่นกัน ดังนั้น ยอดสินเชื่อใหม่ในไตรมาสแรกของปีคงไม่ขยายตัวอย่างที่คิด

ดัชนีชี้วัดอีกตัวที่ค่อนข้างอ่อนไหวกับสถานการณ์ของประเทศคือ ตลาดหุ้น จากการสำรวจพบว่าตั้งแต่เหตุการณ์ปฎิวัติที่เกิดในวันที่ 19 ก.ย.49 จนถึงวันที่ 19 มี.ค.50 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง 33.42 จุด หรือ -4.75% จากระดับ 702.56 จุดเมื่อวันที่ 19 ก.ย.49 รูดลงมาเรื่อยจนมาอยู่ที่ระดับ 669.14 จุดเมื่อวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่มูลค่าตามราคาตลาดรวม(มาร์เก็ตแคป)สูญหายกว่า 8 หมื่นล้านบาท โดยเมื่อวันที่ 19 ก.ย.49 มาร์เก็ตแคปตลาดหุ้นอยู่ที่ระดับ 5.15 ล้านล้านบาท เปรียบเทียบกับวันที่ 16 มี.ค.50 มาร์เก็ตแคปตลาดหุ้นอยู่ที่ 5.07 ล้านล้านบาท ลดลง 83,660.84 ล้านบาท

ด้านยอดการซื้อขายของนักลงทุนรายกลุ่มตั้งแต่วันที่19 ก.ย.49 จนถึงวันที่ 19 มี.ค.50 นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 802.96 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 22,079.16 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 21,276.2 ล้านบาท จะเห็นว่านักลงทุนทั่วไปสัญชาติไทย 100% ขายสุทธิต่อเนื่อง เพราะขาดความเชื่อมั่นในตัวรัฐบาล โดยบรรดาโบรกเกอร์ต่างออกอากาศโอดครวญจากการที่รายย่อยหยุดเทรดส่งผลให้รายได้เหือดแห่งตามไปด้วย

และเริ่มมีสัญญาณว่านักลงทุนต่างประเทศเองเริ่มที่จะขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนมี.ค.นี้( 1 มี.ค.-19 มี.ค.) พบว่า นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 2,064.47 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 2,142.97 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 78.5 ล้านบาท

ทางด้านตลาดเงินค่าเงินบาทเริ่มส่งสัญญาณตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา โดยวานนี้ ค่าเงินบาทปิดตลาดเย็นที่ระดับ 34.83-34.85 บาท/ดอลลาร์ การแข็งค่าอย่างรววดเร็วจนเกินไปส่งผลให้ภาคเศรษฐกิจเกิดอาการปรับตัวไม่ทัน โดยเฉพาะการส่งออกที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด มูลค่าการส่งออกลดลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วจนเกินพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศก็จำเป็นที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ต้องมีมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทด้วยการกันเงินสำรอง 30% สำหรับเม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุนในไทย และจากมาตรการนี้เองส่งผลกระทบให้ตลาดหุ้นถึงกับร่วงระนาวกว่า 100 จุด

จนกระทั่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังต้องออกมาประกาศผ่อนคลายมาตการ โดยเงินต่างประเทศที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจะได้รับการยกเว้นการกันสำรอง 30% จากมาตรการนี้จึงทำให้ตลาดหุ้นกระเตื้องขึ้นมาเล็กน้อย ผลพ่วงตั้งแต่กล่าวมาในตอนต้องกระทบกันเป็นลูกโซ๋ ทั้งเศรษฐกิจมหภาค, ตลาดเงิน และตลาดทุน


[/color:c12b5f6232">

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 19/03/2007 @ 23:16:48 :
***โบรกเกอร์ชี้หุ้นซบ เพราะนลท.ขาดความเชื่อมั่นการเมือง

นายอภิสิทธิ์ ลิมป์ธำรงกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน เปิดเผยว่า สาเหตุที่บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ค่อนข้างจะเงียบเหงารวมทั้งมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันยังคงเบาบางไม่ได้เป็นการสะท้อนถึงผลการดำเนินงานและนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดปัจจุบัน แต่มีสาเหตุมาจากนักลงทุนไม่มั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่มีเสถียรภาพสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดน ค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่า รวมทั้งภาพรวมของเศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มชะลอตัวอีกด้วย ดังนั้นจึงส่งผลให้นักลงทุนชะลอการลงทุนออกไปก่อน

" ช่วงนี้ปัจจัยบวกใหม่ก็ไม่ได้มีอะไรเข้ามาสนับสนุน อีกทั้งในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยก็ได้ปรับเพิ่มขึ้นมากแล้ว ซึ่งช่วงนี้ตลาดฯกำลังรอปัจจัยบวกใหม่เข้ามากระตุ้นและการที่ตลาดฯ ไม่ค่อยสดใสไม่ใช่ได้รับผลกระทบหรือสะท้อนภาพของการบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้แต่มันมีปัจจัยลบหลายอย่างที่เข้ามากระทบ "นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ทั้งนี้ในปี 2550 คาดว่าแนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในลักษณะแกว่งตัว และคงจะคล้ายกับปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าหลังจากที่มีการเลือกตั้งใหม่แล้วบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะดีขึ้นหรือไม่ เนื่องจากต้องรอดูปัจจัยบวกใหม่ที่จะเข้ามาสนับสนุนในช่วงนั้นด้วย

" บอกไม่ได้หรอกว่าตลาดหุ้นจะฟื้นหรือไม่ฟื้นหลังการเลือกตั้ง เพราะสาเหตุที่ตลาดหุ้นไม่สดใสช่วงนี้ไม่ได้เกิดจากปัจจัยเรื่องการเลือกตั้งเพียงปัจจัยเดียวแต่เกิดจากหลายปัจจัยอย่างที่บอกไว้แล้ว ซึ่งก็ควรที่จะดูปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

สำหรับปีนี้ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่า SET Index ในปีนี้จะอยู่ที่ 620 -700 จุด โดยแนะนำนักลงทุนเลือกซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี รวมทั้งหุ้นที่มีข่าวบวกใหม่เข้ามาสนับสนุน เช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน )หรือ PTT และบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEPเป็นต้น

***หลายปัจจัยลบรุมเร้าตลาดหุ้นไทย

บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน ระบุว่า ประเด็นที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นสัปดาห์นี้มีดังนี้ การประชุมธนาคารกลางของญี่ปุ่นและสหรัฐ ในวันที่ 20 มีนาคม และ 21 มีนาคม ถ้าหากธนาคารกลางญี่ปุ่นปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ระดัย 0.5%อาจเป็นปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นไทย เพราะอาจส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าตามเงินเยนได้ รวมทั้งความกังวลที่กองทุน Carry Trade Fund เร่งถอนสภาพคล่องออกจากตลาดหุ้นเพื่อปิดสถานะ

ประเด็นที่ 2 การประกาศตัวเลขเศรษบกิจของสหรัฐ ได้แก่ ตัวเลขธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เดือนมี.ค., ตัวเลขยอดสร้างบ้านใหม่เดือนก.พ. ตัวเลขยอดขายบ้านมือสองเดือนก.พ. ถ้าหากตัวเลขทั้งมหดมีแนวดน้มชะลอตัว อาจส่งผลต่อความวิตกกังวลต่อแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษบกิจสหรัฐ

ประเด็นที่ 3 การขึ้นเครื่องหมาย XD ของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่เช่น TOP มีผลจ่อดัชนี 0.54 จุด PHATRA มีผลต่อดัชนี 0.06 จุด BAY มีผลต่อดัชนี 0.13 จุด ATC มีผลต่อดัชนี 0.29 จุด

แต่อย่างไรก็ดี ประเด็นที่เป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นเช่น การทำราคาเพื่อปิดบัญชี ( Window Dressing ) โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโอกาสสูงที่ราคาหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ กลุ่มปิโตรเคมี และกลุ่มโรงพยายาม เพราะจากข้อมูล 4 ปีย้อนหลังหุ้นทั้ง 2 กลุ่มให้ผลตอบแทนเฉลี่ยระหว่าง 3-5% ในช่วงก่อนปิดงวดบัญชีรายไตรมาส

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com