May 16, 2024   2:28:14 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ทั่วๆไปหลังตลาดปิดวันนี้
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 22/03/2007 @ 23:02:25
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

SET ปิดที่ 674.84 จุด
เมื่อวานนี้ดัชนีสามารถปรับขึ้นได้กว่า 5 จุด ซึ่งก็เป็นอีกครั้งหนึ่งของการดีดตัวทดสอบเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน แม้แนวโน้มระยะสั้นมีสถานะเชิงบวก แต่เนื่องด้วยดัชนียังคงถูกกดดันด้วยเส้นค่าเฉลี่ย 10 25 75 และเส้น 200 สัปดาห์ การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจึงเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดีดตัวถึงแนวต้านระดับสัปดาห์บริเวณ 680 จุด แล้วนั้น คาดว่าจะมีความผันผวนสูงมากนักลงทุนอาจใช้โอกาสนี้ขายทำกำไร
แนวรับ 663-665 จุด
แนวต้าน 675-678 จุด

SIM ราคาปิด 19.00 บาท แนะนำ ซื้อ
เมื่อพิจารณาถึงแนวโน้มระยะยาวของ SIM เห็นได้ว่าราคาฟื้นตัวตามเส้นค่าเฉลี่ย 10 และเส้น 25 สัปดาห์ ตลอดเวลาสองปีที่ผ่านจากบริเวณ 9.00 บาท จนถึงระดับ 19.00 บาท ณ ปัจจุบัน การปรับขึ้นเช่นนี้ แม้จะทำให้สัญญาณระยะสั้น Stochastic เคลื่อนเข้าสู่เขตการซื้อมากเกินไป อันอาจส่งผลให้ราคาปรับลงบ้าง แต่ยังไม่มีสัญญาณเปลี่ยนแนวโน้มที่บ่งบอกถึงการกลับเข้าสู่ขาลง การปรับฐานใดๆ คาดหมายว่าเป็นเพียงภาวะลบช่วงสั้นโดยมีเส้นค่าเฉลี่ย 10 และเส้น 25 สัปดาห์ เป็นแนวรับหลัก
แนวรับ 18.00-19.00 บาท
แนวต้าน 22.00-23.00 บาท


 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 22/03/2007 @ 23:03:50 :
[b:8e4195e17b">กลุ่มขนส่ง: ผลกระทบจากการย้ายเที่ยวบินในประเทศกลับมาดอนเมือง - ต่ำกว่าตลาด[/b:8e4195e17b">

สรุปประเด็นสำคัญ

การย้ายเที่ยวบินในประเทศที่ไม่ต้องต่อเครื่องไปยังต่างประเทศกลับมาที่สนามบินดอนเมืองจะช่วยลดปัญหาจากความไม่พร้อมของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

สายการบินต้นทุนต่ำที่บินในประเทศส่วนใหญ่ย้ายกลับไปที่สนามบินดอนเมือง ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกเทียบเท่าสนามบินปกติ

AOT ได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายดำเนินการที่เพิ่มขึ้นปีละ 1.6 พันล้านบาท ส่งผลให้ประมาณการกำไรจากการดำเนินงานปกติปี 50 ลดลงจากเดิม 30% แต่สามารถชะลอการลงทุนขยายสนามบินสุวรรณภูมิไปได้อีก 4-5 ปี และสามารถปิดซ่อมทางวิ่งที่ชำรุดได้สะดวกมากขึ้น

เที่ยวบินในประเทศส่วนใหญ่ของ THAI ยังคงอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้านักท่องเที่ยวต่างชาติในการต่อเที่ยวบินในประเทศไปยังต่างประเทศ โดยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นประมาณ 600 ล้านบาท/ปี กระทบประมาณการกำไรสุทธิปี 50 ลดลงจากเดิม 5%

แม้ว่า BAFS จะได้ผลบวกจากค่าบริการฯที่จัดเก็บที่สนามบินดอนเมืองสูงกว่าที่สนามบินสุวรรณภูมิ 1 USC/USG แต่ก็เพียงครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการดำเนินการ 2 สนามบิน ทำให้แทบไม่มีผลต่อการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิ ทั้งนี้ BAFS อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อยกเว้นหรือลดค่าเช่าท่อกับ AOT (ซึ่งปัจจุบันยกเว้นให้ชั่วคราว)

BECL ได้รับผลกระทบจากปริมาณรถยนต์บนทางด่วนไม่ได้เพิ่มขึ้นตามคาด แต่คาดว่าไม่มีนัย แม้ว่าจะเป็นกรณีเลวร้าย (4% ของประมาณการกำไร)

ยังคงคำแนะนำ "ขาย" AOT (มูลค่าเหมาะสมปี 50 ที่ 52 บาท) และ BAFS (10 บาท) "เก็งกำไร" THAI (48 บาท) และ "ซื้อ" BECL (29 บาท)

[/color:8e4195e17b">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#2 วันที่: 22/03/2007 @ 23:08:06 :
[b:bffa85c19a">S2Y[/b:bffa85c19a">

- ราคาหุ้นไม่ยอมสลดทันที
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การชี้แจงของ S2Y ต่อข้อสอบถามของ ตลท.ในครั้งนี้ ไม่แตกต่างจากคำตอบที่ทางบริษัทได้ต่อข้อซักถาม ของ ตลท.เมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการสอบถามของ ตลท.ครั้งนี้ ที่ถือเป็นการสอบถามครั้งที่สอง ก็ไม่ได้ทำให้ราคาหุ้นลดความร้อนแรงลงมาอย่างชัดเจน โดยหลังตลาดฯเปิดทำการซื้อขายภาค บ่ายราคาหุ้นได้ปรับเพิ่มขึ้นทันที โดยราคาดีดขึ้นไปทำ high ที่ 5.05 บาท จากที่ได้ปิดการซื้อขายภาคเช้าที่ราคา 4.98 บาท และหลังจากนั้นราคาได้เคลื่อนไหวในลักษณะผันผวนต่อเนื่องตลอดการซื้อขายภาคบ่าย จนราคาปิดตลาดที่ระดับ 4.52 บาท เพิ่มขึ้นเพียง 2 สตางค์ ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 209.31 ลบ.

- ขาเก็งหนีตายชิ่งสิง PE แทน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากตลาดฯเปิดการซื้อขายภาคบ่าย ราคาหุ้น S2Y เคลื่อนไหวผันผวนอย่างชัดเจน และเริ่มมีทิศทางเป็นขาลงให้เห็น ซึ่งในเวลาเดียวกัน ราคาหุ้นบมจ.พรีเมียร์เอ็นเตอร์ไพรซ์ (PE ) มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น และมีปริมาณการซื้อขายค่อนข้างหนาแน่น โดยนักลงทุนรายหนึ่งกล่าวว่า การปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของหุ้นเก็งกำไรดังกล่าว คาดว่าเป็นผลมาจากนักลงทุนบางกลุ่ม เลิกเก็งกำไรหุ้น S2Y เนื่องจากเกรงว่า ตลท.จะสั่งห้ามซื้อขายในลักษณะหักกลบราคาค่าซื้อกับราคาค่าขายหลักทรัพย์เดียวกันในวันเดียวกัน (Net Settlement) และห้ามสมาชิกให้ลูกค้ากู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Margin Trading) หลังจากที่เคยทำกับหุ้นเก็งกำไรที่เคลื่อนไหวร้อนแรงแบบไร้เหตุผลรองรับมาแล้วในช่วงก่อนหน้านี้ หลังจากที่ ตลท.ได้สอบถามเรื่องความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น S2Y เข้ามาเป็นครั้งที่สอง

- เซียนหุ้นชี้เพียงรีบาวน์ทางเทคนิค หลังราคาร่วงมากกว่า 50%

นายอภิศักดิ์ ลิมป์ธำรงกุล รองผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย เปิดเผยถึงกรณีที่ราคาหุ้น บมจ.พรีเมียร์เอ็นเตอร์ไพรซ์ (PE ) มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น และมีปริมาณการซื้อขายค่อนข้างหนาแน่นว่า เป็นเพียงการรีบาวน์ทางเทคนิค หลังจากที่ราคาหุ้นดังกล่าวมีการปรับตัวลดลงมาประมาณ 50% รวมทั้งได้อานิสงส์ของภาวะตลาดฯที่สดใส ช่วยให้ราคาหุ้นเกือบทุกกลุ่มมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
ราคาหุ้น PE ตกลงจาก 4 บาท ลงมาเหลือ 2.50 บาท หลังจากที่ PT (บริษัท พรีเมียร์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน)) ถูกห้ามเน็ทฯ-มาร์จิ้น ดังนั้นจึงมีการรีบาวน์ทางเทคนิคบ้าง รวมทั้งได้อานิสงส์ของภาวะตลาดฯที่บวกตามต่างประเทศ และการที่เจพีมอร์แกนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ดังนั้นหุ้นหลายๆตัวก็มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นกัน นายอภิศักดิ์ กล่าว

โดย ณ เวลา 15.30 น.วันที่ 22 มี.ค. ราคาหุ้น PE อยู่ที่ 2.88 บาท เพิ่มขึ้น 0.36 บาท มูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 170.14 ล้านบาท และปิดตลาดที่ระดับ 3.04 บาท เพิ่มขึ้น 0.52 บาท มูลค่าการซื้อขาย 325.48 ลบ.

- วงการระบุถ้า S2Y ไม่หยุดความร้อนแรงมีหวังโดนสอยตามรอย PT
แหล่งข่าวจากวงการค้าหลักทรัพย์กล่าวว่า หลังการสอบถามมาจาก ตลท.หากราคาหุ้น S2Y ยังไม่ลดความร้อนแรงลงเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่ ตลท.อาจจะมีคำสั่งห้ามซื้อขายในลักษณะหักกลบราคาค่าซื้อกับราคาค่าขายหลักทรัพย์เดียวกันในวันเดียวกัน (Net Settlement) และห้ามสมาชิกให้ลูกค้ากู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Margin Trading) เช่นเดียวกับที่เคยดำเนินการกับ PT ในช่วงก่อนหน้านี้ (ตลท.สั่งห้ามซื้อขายในลักษณะ Net Settlement และ Margin Trading ของหลักทรัพย์ PT ชั่วคราวเป็นเวลา 30 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม ถึง 20 เมษายน 2550) แม้ว่าปัจจัยที่เข้ามารองรับความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นอย่างร้อนแรงของหุ้น S2Y จะมีเหตุมีผลในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องการขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับพันธมิตร ที่นำไปสู่การเสิรมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทมากขึ้น แต่หากราคาหุ้นเคลื่อนไหวร้อนแรงเกินไปจนอาจสร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนรายย่อยได้ ตลท.ก็คงต้องตัดสินใจมีคำลังออกมาดังกล่าว

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการ บริษัท สยามทูยู จำกัด (มหาชน)(S2Y)มีมติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทจาก 40,931,510บาท เป็น 487,271,510 บาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 446,340,000 หุ้น มูลค่า ที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท รวม 446,340,000 บาท จัดสรรให้แก่บุคคลในวงจำกัด ได้แก่
1) บริษัท เนซู แคปปิตอล จำนวนหุ้น(หุ้น) 175,708,154 ราคาขายต่อหุ้น (บาท) 1.00
2) บริษัท คูดู จำกัด จำนวนหุ้น(หุ้น) 113,458,184 ราคาขายต่อหุ้น (บาท) 1.00
3) บริษัท สฟิงซ์ แคปปิตอล จำนวนหุ้น(หุ้น) 70,602,152 ราคาขายต่อหุ้น (บาท) 1.00
4) นายไซมอน จีโรวิช จำนวนหุ้น(หุ้น) 59,549,533 ราคาขายต่อหุ้น (บาท) 1.00
5) บริษัท เอ็ม อาร์ แอสเซส คอร์ปอเรชั่น จำกัด จำนวนหุ้น(หุ้น) 27,021,977 ราคาขายต่อหุ้น (บาท) 1.00

โดยระบุวัตถุประสงค์ของการเพิ่มทุน และการใช้เงินทุนในส่วนที่เพิ่มว่าจากการที่บริษัทมีผลประกอบการจากการประกอบธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศประเภทต่างๆ ในปัจจุบัน ได้แก่ การให้บริการเสริมสำหรับผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ (Wireless VAS) การให้บริการคำปรึกษาและพัฒนาผ่านสื่ออินเตอร์เน็ตและสื่อไร้สาย (Interactive Solutions) และการให้บริการสื่อดิจิตอล (Digital Media) และ Audiotex ตกต่ำลงมาตลอด เห็นได้จากกำไรสุทธิที่ลดลงจากจำนวน 26.31 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 2.99 ล้านบาทในปี 2548 และมีผลขาดทุนสุทธิ 23.67 ล้านบาทในปี 2549 ที่ผ่านมา
เนื่องมาจากสภาวะการแข่งขันอย่างรุนแรงในอุตสาหกรรมทั้งจากผู้ประกอบการเดิมและคู่แข่งรายใหม่ การเปลี่ยนแปลงในสัดส่วนการแบ่งรายได้ระหว่างผู้ประกอบการ โทรศัพท์เคลื่อนที่และบริษัท รวมถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับลิขสิทธิ์การใช้ข้อมูลบริการเสริม (Content) ที่สูงขึ้น จากสภาวะดังกล่าว หากบริษัทยังไม่ดำเนินการใดๆ ต่อไป อาจมี แนวโน้มว่าบริษัทจะมีผลประกอบการขาดทุนต่อไปในอนาคต จนอาจทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นลบได้ในที่สุด ซึ่งหลังจากที่ได้พิจารณาทางเลือกต่างๆ หลายทางเลือกแล้วทั้งแนวทางที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและธุรกิจอื่นๆ คณะกรรมการจึง มีความเห็นว่าบริษัทควรหาทางขยายลักษณะการดำเนินธุรกิจไปยังอุตสาหกรรมประเภทอื่นๆ ที่จะสร้างรายได้และผลตอบแทนที่สูงขึ้นให้กับบริษัทและผู้ถือหุ้นได้ในอนาคต
บริษัทจึงได้เริ่มมองหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ จนเห็นว่าการลงทุนในสินทรัพย์ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ น่าจะสามารถสร้างรายได้และผลตอบแทนที่ดีและยั่งยืนให้แก่บริษัทได้ในอนาคต รวมทั้งจะทำให้บริษัทมี สินทรัพย์ที่มีตัวตนในสัดส่วนที่สูงขึ้นเป็นอย่างมากในทันที จึงได้ตัดสินใจร่วมลงทุนกับพันธมิตรดังกล่าว

-หุ้น S2Y รีบาวน์หลังได้ข่าวดีกลุ่มทุนใหม่เข้าร่วมถือหุ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น S2Y ว่าหลังจากที่นักลงทุนรับทราบว่ากลุ่มที่เข้ามาใหม่จะเปิดทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ ที่ราคาหุ้นละ 1.50 บาท เนื่องจากการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 446,340,000 หุ้นต่อนักลงทุนในวงจำกัดข้างต้น จะทำให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 75% ราคาหุ้นก็ตอบรับในทิศทางที่ดีทันที โดยราคาหุ้น S2Y ในช่วง 4 วันทำการ( 6 มี.ค.- 9 มี.ค.50) พบว่า ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 6 มี.ค.50 ราคาหุ้น S2Y ปิดที่ระดับ 1.39 บาท เปรียบเทียบกับราคาสูงสุด ณ วันที่ 9 มี.ค. 50 อยุ่ที่ระดับ 1.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.36 บาท หรือเปลี่ยนแปลง 25.89% ซึ่งราคาหุ้น S2Y ในวันนี้ถือว่าปรับตัวขึ้นมาสูงเกินกว่าราคาเทนเดอร์ออฟเฟอร์ที่นักลงทุน 5 รายจะเสนอซื้อหุ้น 1.50 บาท

- ไม่สนแม้วงการแนะขาย S2Y ทิ้ง หลังหุ้นพุ่งเกินราคาเทนเดอร์ออฟเฟอร์
หลังจากที่ราคาหุ้น S2Y ปรับเพิ่มอย่างชัดเจน นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นบริษัท สยามทูยู จำกัด (มหาชน) (S2Y) ที่ปรับขึ้นสูงกว่าราคาเทนเดอร์ฯที่ราคา 1.50 บาทต่อหุ้น ว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นดังกล่าว มองว่าเป็นเรื่องปกติที่นักลงทุนอาจจะเข้ามาเก็งกำไร แต่จากที่ราคาหุ้นเคลื่อนไหวค่อนข้างหวือหวา ก็แนะนำให้ขายทำกำไรออกไปก่อน เพราะมองว่า นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรหุ้นตามกระแสข่าวเท่านั้น แต่ราคาหุ้นก็ยังคงเดินหน้าปรับเพิ่มขึ้นต่อไป จนขึ้นไปทำราคาสูงสุดที่ระดับ 5.35 บาท เมื่อเวลา 10.05 น.ของวันที่ 22 มี.ค.2550 ดังกล่าว


[/color:bffa85c19a">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#3 วันที่: 22/03/2007 @ 23:09:00 :
[b:b529fcca66">*พบบิ๊กล็อต ASL 25 ล้านหุ้น เฉลี่ย 1 บ./แหล่งข่าวระบุไม่ใช่ของ"คิ้วคชา" [/b:b529fcca66">

บ่ายนี้พบรายการบิ๊กล็อตหุ้น ASL 1 รายการ จำนวน 25 ล้านหุ้น เทรดในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 1 บาท มูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 25 ล้านบาท ขณะที่ราคาเทรดบนกระดานหลักปิดตลาดที่ 0.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.04 บาท(+5.63%) มูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น 55.37 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 0.73 บาท ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 0.75 บาท และปรับตัวลงต่ำสุดที่ 0.71 บาท

ทั้งนี้ มีกระแสข่าวในห้องค้าหลักทรัพย์ออกมาว่า ทางกลุ่มคิ้วคชา ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ ASL ได้ขายหุ้น ASL ออกมาบนกระดานบิ๊กล็อต แต่อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวจากบล.แอ๊คคินซัน(ASL) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า รายการบิ๊กล็อต ASL จำนวน 25 ล้านหุ้น เป็นรายการที่ทำโดยกลุ่มผู้ถือหุ้นกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่ใช่กลุ่มคิ้วคชาซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ ASL โดยขณะนี้ยังไม่ทราบเจตนาที่แท้จริงของการทำรายการดังกล่าว

โครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ ASL ล่าสุดเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2550 (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท)ประกอบกับด้วย นายอำนาจ คิ้วคชา ถือหุ้น6.03% นายฤทธิ์ คิ้วคชา ถือหุ้น 4.98% MERRILL LYNCH,PIERCE,FENNER & SMITH INC. ถือหุ้น 4.96% บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด ถือหุ้น 3.71% นายบี เตชะอุบล ถือหุ้น 3.15% นางพวงพันธุ์ บูลภักดิ์ ถือหุ้น 2.69% นายเบน เตชะอุบล ถือหุ้น 2.54% น.ส.ฉัตร์สุดา เบ็ญจนิรัตน์ ถือหุ้น 2.38% นายวิชาญ โชติอุดมพันธ์ ถือหุ้น 1.59% นายอภิชญา บุรานนท์ ถือหุ้น 1.41%


 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#4 วันที่: 22/03/2007 @ 23:16:11 :
[b:418622d645">ตลท.รับหุ้นเพิ่มทุน S&J เข้าเทรด 26 มี.ค.นี้ [/b:418622d645">

ตลาดหลักทรัพย์ รับหุ้นเพิ่มทุน บมจ. เอส แอนด์ เจ อินเตอร์เนชั่นแนล เอนเตอร์ไพรส์ (S & J) เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนเพิ่มเติม และให้เริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2550 เป็นต้นไป

S & J มีทุนใหม่ 102,463,500 บาท จัดสรรให้ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จัดสรรให้กรรมการและพนักงาน 506,500 หน่วย แปลงเป็นหุ้นสามัญ 506,500 หุ้น (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท) อัตราส่วน 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ ต่อ 1 หุ้นสามัญ

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#5 วันที่: 22/03/2007 @ 23:16:57 :
[b:9fe568f59e">โบรกเกอร์มาร์เก็ตแชร์ 5 อันดับสูงสุดประจำวันนี้ [/b:9fe568f59e">

โบรกเกอร์ 5 อันดับที่มีมาร์เก็ตแชร์สูงสุด ได้แก่ CLSA=8.71% มูลค่าซื้อขาย 1.58 พันลบ. รองลงมา SCBS=7.26% KIMENG=6.60% CS=5.41% และ PHATRA=5.40% จากวอลุ่มการซื้อขายรวมของตลาด 9,046 ลบ.

สรุปมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์ประจำวันนี้เท่ากับ 9,046 ล้านบาท โดยมีนายหน้าค้าหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) 5 อันดับแรกที่มีนักลงทุนส่งคำสั่งซื้อ-ขาย รวมมูลค่าสูงสุดในวันนี้ ได้แก่

1.CLSA
ส่วนแบ่งการตลาด 8.71%
2.SCBS
ส่วนแบ่งการตลาด 7.26%
3.KIMENG
ส่วนแบ่งการตลาด 6.60%
4.CS
ส่วนแบ่งการตลาด 5.41%
5.PHATRA
ส่วนแบ่งการตลาด 5.40%

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com