May 16, 2024   6:38:34 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้นค่ะ......
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 23/03/2007 @ 08:40:44
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บล.เกียรตินาคินแนะนำซื้อ MMEราคาเป้าหมาย 3.47 บาทจากเดิมเราคาดว่าบริษัทจะสามารถใช้กำลังการผลิตที่ขยายเพิ่มขึ้น150% yoy ในช่วงครึ่งปีหลัง 50 การดำเนินการดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการพิจารณาเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกปัจจุบันอยู่ในภาวะชะลอตัว (บริษัทส่งออกเกือบ 100%)จึงต้องมีการประเมินสถานการณ์ใหม่เราจึงมีการปรับประมาณการผลการดำเนินงานปี50 ของบริษัทเป็นภายใต้สมมติฐานว่าจะยังไม่มีการขยายกำลังการผลิตในปี 50 (รอความชัดเจนจากแผนธุรกิจปี 50 ของบริษัทก่อน)ทำให้ประมาณการยอดขายลดลงจากเดิม47% และประมาณการกำไรสุทธิลดลงจากเดิม 42%คาดปี 50 ปริมาณการผลิตสินค้าใกล้เคียงปี 49 จากสมมติฐานบริษัทไม่มีการขยายกำลังการผลิต แม้ว่าค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 50 แต่จากที่บริษัทมีการป้องกันความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาทโดยการ Code ราคาขายสินค้าเป็นเงินบาท (เจรจากับลูกค้าตั้งแต่ไตรมาส 4/49 แล้ว)คาดยอดขายเท่ากับ 259 ลบ. ทรงตัวจากปี 49คาดกำไรสุทธิเท่ากับ 83 ลบ. ทรงตัวจากปี 49 เช่นกัน คาดกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.33บาท คาดจากผลการดำเนินงานปี 50 บริษัทจะจ่ายเงินปันผล 0.10 บาท/หุ้น คิดเป็น DivYield 3.3% แม้ว่าเราจะมีการปรับมูลค่าพื้นฐานของ MME ลง แต่อย่างไรก็ตาม ราคาตลาดยังต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานที่เราประเมินมี Up-side Gain 16% และมีแนวโน้มที่บริษัทจะจ่ายเงินปันผลปี 49 ที่ 0.10 บาท/หุ้น (ให้ติดตามการประชุม Board)คิดเป็น Div Yieldเท่ากับ 3.3% แม้ว่า MME จะมีลักษณะเป็นหุ้นเก็งกำไร แต่เมื่อพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานมูลค่าพื้นฐานก็มี Up-side Gain 16% รวมถึงเมื่อพิจารณาฐานะทางการเงินของบริษัทก็ค่อนข้างแข็งแกร่ง อัตราส่วน D/E Ratio เพียง 0.04X และไม่มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย


บล.กิมเอ็งแนะนำซื้อ TTAราคาเป้าหมาย 40.00 บาทปัจจุบัน TTA มีเรือ 45 ลำ มีสัดส่วนการให้บริการดังนี้ 1. ประจำเส้นทาง (Linerservices) 35% 2. เช่าเหมาลำเป็นระยะเวลา (Tramp services) 31% และ 3.เช่าเหมาเที่ยว (Voyage services) 34% ผู้บริหารตั้งเป้ารักษาสัดส่วนเรือเช่าเหมาลำเป็นระยะเวลาไว้ที่ 40-45%ซึ่งบริษัทไม่ต้องรับภาระต้นทุนค่าน้ำมันที่ผันผวนโดยผู้เช่าจะเป็นผู้รับผิดชอบ ปัจจุบัน TTA มีการทำสัญญาเช่าได้ค่าระวางเฉลี่ยประมาณ 12,500 เหรียญ/วัน แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2 คาดว่ายังเติบโตต่อเนื่อง เพราะ TTA มีสัดส่วนเรือที่รับค่าระวางตลาดอยู่ 34% ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากค่าระวางที่ปรับตัวขึ้นในช่วงก่อนหน้า อีกทั้งต้นทุนค่าน้ำมันนับว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับปีก่อน จากการปลดระวางเรือในปีที่ผ่านมา ส่งผลปริมาณกองเรือเข้าสู่สมดุลกับความต้องการใช้เรือพยุงให้ค่าระวางตลาดมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่กลางปี 49 และมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นในระยะยาว ประกอบกับต้นทุนน้ำมันที่ลดลง ดังนั้นจึงคาดการณ์กันว่าผลการดำเนินของหุ้นขนส่งทางเรือทั่วโลกในปีนี้มีแนวโน้มสดใส โดยราคาหุ้นขนส่งทางเรือแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกมีการซื้อขายที่ต่ำกว่าค่า PE ของดัชนีตลาดนั้น ๆ อยู่ราว 28-30% ซึ่งในช่วงที่เป็นขาลงซื้อขายต่ำกว่าดัชนีตลาดอยู่ 50-55% หรือหากไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นจะมีการซื้อขายที่ PER เฉลี่ยประมาณ 10-13เท่า ขณะที่หุ้นเรือไทยซื้อขายที่ PE เพียง 5.97 เท่า


บล.เอเซีย พลัสแนะนำขาย KESTราคาเป้าหมาย 14.50 บาทKEST เปิดเผยประเด็นสำคัญในการประชุมนักวิเคราะห์ ดังนี้ 1) ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดของลูกค้ารายย่อย ลูกค้าต่างประเทศ และสถาบันในประเทศเท่ากับ 12% 6% และ 4% ของมูลค่าการซื้อขายรวมของตลาดในแต่ละกลุ่มลูกค้า ซึ่งจะได้ส่วนแบ่งการตลาดรวมราว 8.7%2) รายได้จากธุรกิจวาณิชธนกิจคาดว่าจะเริ่มรับรู้มากขึ้นตั้งแต่งวด 2Q50 เนื่องจากต้องรอภาวะตลาดที่เอื้ออำนวย ทั้งนี้คาดว่าบริษัทและกองทุนอสังหาริมทรัพย์ซึ่งรอจดทะเบียนในปัจจุบัน น่าจะแล้วเสร็จในปี 2550 ราว 3-5 บริษัท มูลค่าการระดมทุนคงไม่ต่ำกว่า 2หมื่นล้านบาท และ 3) การจัดตั้งบริษัทจัดการกองทุนรวมคาดว่าจะแล้วเสร็จในงวด 2Q50แต่ประเมินว่าจะเพียงคุ้มทุนในปี 2550อย่างไรก็ตามสำหรับงวด 2Q50 แม้ KEST คาดว่าจะมีการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดได้ แต่ฝ่ายวิจัยเห็นว่าอาจต้องขึ้นอยู่กับภาวะตลาดเพราะหากยังซบเซาเหมือนไตรมาสแรก การนำหุ้นเข้าจดทะเบียน ก็มีแนวโน้มชะลอออกไปได้อีกเช่นกัน ในขณะที่มูลค่าการซื้อขายยังไม่มีปัจจัยบวกใดมากระตุ้น เบื้องต้นจึงอาจแค่เพียงทรงตัวจากงวดไตรมาสแรกเท่านั้น แม้ช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้น KEST จะปรับลดลงต่อเนื่อง แต่ยังสูงกว่า Fair value ปี 2550 ที่อิง PER 18 เท่า ที่ 14.50 บาท ยิ่งไปกว่านั้น Fair value ปัจจุบันอยู่ภายใต้สมมติฐานมูลค่าการซื้อขายที่ระดับ 1.5 หมื่นล้านบาท/วัน และส่วนแบ่งการตลาดที่ 8.5% สูงกว่าที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันทั้งสิ้น ซึ่งหากใช้สมมติฐานเดียวกับปัจจุบันจะส่งผลให้ Fair value ลดลงเหลือประมาณ 9 บาท ดังนั้นความเสี่ยงในการปรับลดลงของราคาหุ้นจึงยังมีสูงมาก


บล.เคจีไอแนะนำถือ ITDราคาเป้าหมาย 5.40 บาทเราคาดว่า ITD จะไม่สามารถรายงานผลประกอบการที่ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญได้อย่างน้อยจนครึ่งหลังของปี 50 เนื่องจากผลขาดทุนที่เกิดในปีก่อนหน้าส่วนใหญ่เกิดขึ้นในครึ่งหลังของปี 49นอกจากนี้ คาดว่ารายรับของ ITD ที่บันทึกจากโครงการบ้านเอื้ออาทรจะลดลงอย่างมากหลังจากที่กว่า 50% ของโครงการถูกพักการก่อสร้าง ดังนั้น เราปรับลดรายรับปี 2550-2551 ลงปีละ 14% เหลือ 44 พันล้านบาทและ 51 พันล้านบาทตามลำดับ ทำให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 2550-2551 ลดเหลือ 846 ล้านบาทและ 1.2 พันล้านบาทลดลง 34% และ 40% จากประมาณการเดิมตามลำดับ เรายังคงกังวลเกี่ยวกับปัญหายืดเยื้อของ ITD จากต้นทุนบานปลายของโครงการ ITD Cementation ในอินเดีย ปัญหาความไม่แน่นอนว่าบริษัทฯ จะได้ใบอนุญาตดำเนินการเหมืองโปแตชหรือไม่และเมื่อไร และปัญหามูลค่างานในมือลดลงจากการที่โครงการบ้านเอื้ออาทรถูกพักการก่อสร้างในปีนี้ จากการปรับลดรายรับ เราปรับลดราคาเป้าหมายในปี 2550 เหลือ 5.4 บาท (ลดลง 24% จาก 7.1 บาทจากการคำนวนโดยวีธี DCF) ที่ระดับราคาปัจจุบัน ราคาเป้าหมายให้โอกาสทำกำไรในอนาคต


[/color:308c0fdd7e">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com