May 16, 2024   10:52:06 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > กระซิบหน้าจอ
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 23/03/2007 @ 10:54:44
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

SET Index วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2550 ปิดที่ดัชนี 674.84จุด +5.28จุด มูลค่าการซื้อขาย 9,046 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 243.83 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 47.61 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 196.23 ล้านบาท SET Index ทำ High ที่ 674.99 จุด +5.43 จุด และ Low ที่ 671.99 จุด +2.43 จุด ตลาดเคลื่อนไหวแคบ ๆ ในแดนบวกได้ตลอดวันอันเป็นผลมาจากตลาดหุ้นของสหรัฐและภูมิภาคที่ต่างปรับตัวขึ้น
บวกกับราคาน้ำมันที่ดีดตัวขึ้นต่อเนื่องมา 2 วัน ถึงแม้จะสูงขึ้นไม่มากแต่ก็ไม่ได้ปรับลง อีกทั้งปัจจัยบวกใหม่ที่พอจะได้เห็นหน้าค่าตากันบ้างแล้วที่เจพีมอร์แกนปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็น Overweight จากภาวะของเศรษฐกิจมหภาคที่ แข็งแกร่งและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวลงของประเทศไทยพร้อมทั้งแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นธนาคาร รับเหมาก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์แต่แนะให้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นในกลุ่มสื่อสารและพลังงาน แต่ตลาดก็ยังมีมูลค่าการซื้อขายรวมไม่มากเนื่องจากนักลงทุนยังคงชะลอการลงทุนอันเป็นผลจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นส่งผลให้สภาพตลาดซบเซามานานซึ่งทำให้นักลงทุนต่างหันมาเก็งกำไรในหุ้นเล็กกันมากกว่าส่งผลให้หุ้นเก็งกำไรช่วงนี้จะมีซิลลิ่งให้ได้เห็นกันวันละตัว

HMPRO ราคาเปิดที่ 4.94 บาท ราคาปิดที่ 4.86 บาท มูลค่าการซื้อขาย 22.12 ล้านบาท บริษัทจะยังคงมีผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะลดต่ำลงมาก ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ หลังเหตุระเบิดช่วงปีใหม่และปัญหาด้านการเมือง โดยยอดขายต่อสาขายังคงมีการเติบโต ขณะที่การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายจะช่วยผลักดันยอดขายและจำนวนลูกค้า นอกจากนั้น HMPRO ยังน่าจะได้รับผลบวกจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลงซึ่งจะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค รวมไปถึงความต้องการซื้อบ้าน ขณะนี้ HMPRO ได้เตรียมพื้นที่สำหรับเปิดสาขา 4-5 แห่งแล้วในปีนี้ แบ่งเป็น 2 สาขาในกรุงเทพฯ และ 2-3 สาขาในต่างจังหวัด โดยในสิ้นปีนี้บริษัทจะมีสาขารวม 30 แห่ง แม้การขยายสาขาในอนาคตอาจถูกจำกัดภายใต้ พ.ร.บ. ค้าปลีก ที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา แต่เชื่อว่าบริษัทจะยังสามารถเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ เนื่องจากการเป็นผู้นำในตลาดซึ่งมีความสามารถในเชิงแข่งขันสูง ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหม่จะเข้ามาในธุรกิจนี้ก็ทำได้ยากขึ้น โดยปัจจัยผลักดันการเติบโตของ HMPRO จะมาจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายสาขาเดิมและรายได้จากค่าเช่าและงาน Expo สำหรับ HomeWorks K.KRAZIP แนะนำ " ซื้อ" โดยมีแนวรับที่ 4.80 บาท แนวต้านที่ 5.15 บาท

STAR ราคาเปิดที่ 1.63 บาท ราคาปิดที่ 1.66 บาท มูลค่าการซื้อขาย 7.76 ล้านบาท STAR เปิดเผยถึงความสำเร็จภายหลังเข้าร่วมแสดงสินค้าในงานแสดงสินค้าสุขภัณฑ์โลก หรือ ISH 2007 ที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-10 มีนาคม 2550 ว่าสินค้าของบริษัทได้รับการตอบรับจากทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่เป็นอย่างดี เนื่องจากบริษัทได้นำสินค้าใหม่ที่เพิ่งจะพัฒนาเข้าสู่ตลาดเมื่อปลายปี 2549 ที่ผ่านมา เข้าไปจัดแสดงในงานดังกล่าวเป็นครั้งแรก ส่งผลให้ลูกค้าเดิมที่บริษัทได้ติดต่อซื้อขายสินค้ามานานและลูกค้าใหม่ให้ความสนใจสินค้า
STAR เป็นอย่างมาก ทั้งนี้มีลูกค้ารายใหญ่จากยุโรปทั้ง 2 ราย สนใจจะสั่งซื้อสินค้าจาก STAR รวมกันประมาณเดือนละ 10 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่ารวมปีละประมาณ 100 ล้านบาท โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาในรายละเอียดเกี่ยวกับรูปแบบของสินค้าและราคา อย่างไรก็ดี คำสั่งซื้อที่จะเพิ่มขึ้นใหม่ บริษัทยังไม่มีความจำเป็นต้องลงทุนเพิ่ม
เนื่องจากโรงงานในปัจจุบันใช้กำลังการผลิตเพียง 65-70% ดังนั้นยังสามารถรองรับคำสั่งซื้อใหม่ได้อย่างคล่องตัว K.KRAZIP แนะนำ " ซื้อ" โดยมีแนวรับที่ 1.60 บาท แนวต้านที่ 1.76 บาท

ASCON ราคาเปิด 11.30 บาท ราคาปิด 11.50บาท มูลค่าการซื้อขาย 8.70 ล้านบาท ขณะนี้ ASCON รอเซ็นสัญญาโครงการก่อสร้างใหม่จำนวน 2 โครงการ มูลค่ากว่า 1,000ล้านบาท คาดว่าจะเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการไม่เกินสิ้นเดือนมีนาคมนี้ และASCON ยังอยู่ระหว่างรอเข้าประมูลอีกราวๆ 10 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 7,000 ล้านบาท จากงานในมือที่เพิ่มขึ้นคาดว่าจะมีรายได้ราว 2,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80% จากปีที่แล้วที่มีรายได้ราว 1,500 ล้านบาท ASCON ได้เซ็นสัญญาร่วมกับบริษัทดิวิดัก อินเตอร์เนชั่นแนล จี เอ็ม บีเอช ประเทศเยอรมนี เพื่อเข้าร่วมประมูลงานรถไฟฟ้าทั้ง 5 สาย เนื่องจากพาร์เนอร์มีประสบการณ์ ในการก่อสร้างทางด่วนดอนเมืองโทลเวย์มาแล้ว นอกจากนี้ ASCON ยังสนใจที่จะเข้าไปซื้อตึกร้างตามสถานที่ต่างๆ เพื่อนำมาพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม ซึ่งการเข้าไปอาจจะเป็นการเทคโอเวอร์หรือร่วมทุนกับเจ้าของกิจการเดิม เพื่อกระจายความเสี่ยงของรายได้ คาดว่าจะมีกำไรจากโครงการดังกล่าวราว 400 ล้านบาท และASCON ประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2549 ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" แนวรับที่ 11 บาท แนวต้านที่ 11.80บาท

AOT ราคาเปิด 60.50 บาท ราคาปิด 62 บาท มูลค่าการซื้อขาย 103.27 ล้านบาท ในวันที่ 23 มี.ค. 2550
AOTนำเรื่องที่ขอให้กฤษฎีกาตีความเกี่ยวกับกรณีการทำสัญญาสัมปทานพื้นที่เชิงพาณิชย์กับกลุ่มบริษัทคิงเพาเวอร์ อินดัสตรี้ จำกัด เสนอเข้าที่ประชุมบอร์ด AOT เพื่อพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ในวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา กฤษฎีกาได้แจ้งกลับมายัง AOTว่าได้ตีความสัญญาเกี่ยวกับสัญญาการให้สัมปทานพื้นที่เชิงพาณิชย์กับ คิง
เพาเวอร์ ว่าสัญญาเป็นโมฆะ และการพิจารณาในเบื้องต้นเห็นว่ามูลค่าการลงทุนในส่วนร้านค้าเชิงพาณิชย์มีมูลค่าการลงทุนเกินกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ร่วมทุนระหว่างรัฐกับเอกชน พ.ศ.2535 ส่วนร้านค้าปลอดภาษีและซิตี้การ์เด้น อยู่ระว่างการพิจารณาเช่นกัน K.KRAZIP มองว่าผลที่ออกมาน่าจะเป็นประโยชน์กับทาง AOT เล็งเห็นว่า AOT เป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและข่าวดีในเรื่องการที่กลับมาใช้สนามบินดอนเมือง ตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค.2550 ดังนั้น แนะนำ "ซื้อ" แนวรับ 60 บาท แนวต้าน 63 บาท [/color:b9a00de96e">

ที่มา ทันหุ้น

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com