May 16, 2024   12:31:02 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สรุปภาวะตลาดเงินตลาดทุนรายสัปดาห์: ?บาทอ่อนค่าปลายสัปดาห์ ใน
 

???
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 410
วันที่: 24/03/2007 @ 09:59:58
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ตลาดเงิน

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยตลาดเงินไม่เปลี่ยนแปลงมาก ท่ามกลางสภาพคล่องที่ยังคงทรงตัวในระดับสูง โดยธนาคารพาณิชย์ที่เป็นตัวแทนเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มมีการนำสภาพคล่องเข้ามาลงทุนในช่วงต้นสัปดาห์ ในขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ไว้เท่าเดิมที่ 5.25% ตามคาด ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยอินเตอร์แบงก์ประเภทข้ามคืน (Overnight) ยังคงหนาแน่นทั้งสัปดาห์อยู่ที่ 4.55% เช่นเดียวกับอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1, 7 และ 14 วัน ที่ปิดค่อนข้างทรงตัวตลอดสัปดาห์ที่ 4.50%, 4.53125-4.5625% และ 4.53125-4.5625% ตามลำดับ

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย ประเภทอายุ 5 ปี (TH5YY) ปิดที่ระดับ 4.03% ในวันศุกร์ ขยับลงจาก 4.06% เมื่อวันศุกร์ก่อนหน้า อัตราผลตอบแทนในตลาดพันธบัตรไทยปรับลงโดยเฉพาะระยะสั้น โดยมีแรงหนุนจากความต้องการลงทุนที่มีอยู่มากตามการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยด้วยขนาดที่เพิ่มขึ้นของทางการไทย ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวขยับขึ้น จากแรงขายทำกำไร แม้ว่าปริมาณการออกพันธบัตรรัฐบาลในไตรมาส 2/2549 จะลดลงเมื่อเทียบกับรายงานข่าวที่เปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้ ด้านตลาดพันธบัตรสหรัฐฯนั้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ประเภทอายุ 10 ปี (US10YY) ปิดที่ระดับ 4.59% ในวันพฤหัสบดี ปรับขึ้นจาก 4.55% เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ในวันจันทร์ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯขยับขึ้นเมื่อเทียบกับวันศุกร์ก่อนหน้า อันเป็นผลจากการฟื้นตัวของตลาดหุ้นทั่วโลก ขณะที่นักลงทุนรอผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) แต่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรได้ปรับตัวลงในวันอังคาร เนื่องจากรายงานยอดการขออนุญาตก่อสร้างบ้านในเดือนกุมภาพันธ์ที่ลดลงเกินคาดและการทบทวนปรับลดยอดการก่อสร้างบ้านใหม่ในเดือนมกราคมลงจากเดิม ถึงแม้ว่ายอดการก่อสร้างบ้านใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ที่เพิ่มขึ้นจะมีผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับสูงขึ้นในช่วงแรกก็ตาม อัตราผลตอบแทนพันธบัตรโดยเฉพาะระยะสั้นปรับลงแรง ภายหลังเฟดประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม พร้อมเปิดเผยแถลงการณ์หลังการประชุมที่ทำให้ตลาดตีความว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายอัตราดอกเบี้ยครั้งถัดไปของเฟดจะเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง โดยเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรได้กลับมาเคลื่อนไหวปกติ (มีความชันเป็นบวก) เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2549 อย่างไรก็ตาม อัตราผลตอบแทนพันธบัตรได้ขยับสูงขึ้นอีกครั้งในวันพฤหัสบดี หลังจากที่ตลาดไม่แน่ใจว่าแถลงการณ์ของเฟดซึ่งบ่งชี้ถึงท่าทีที่ผ่อนคลายลงต่อความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ จะนำมาสู่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในอนาคตอันใกล้

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทในประเทศ (Onshore) แตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 9 ปีครึ่งเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ ก่อนที่จะอ่อนค่าลงปลายสัปดาห์ ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันพฤหัสบดี เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเงินบาทถูกเสนอราคาที่ 34.62 บาทต่อดอลลาร์ฯ (ส่วนระดับแข็งค่าสุดที่มีการทำธุรกรรมคือ 34.65 บาทต่อดอลลาร์ฯ) ในวันพฤหัสบดี ซึ่งเป็นระดับแข็งค่าสูงสุดในรอบ 9 ปีครึ่ง ตามปัจจัยบวกจากแรงเทขายเงินดอลลาร์ฯ ของผู้ส่งออก ถึงแม้ว่าการเทขายดังกล่าวจะชะลอตัวลงบ้างในช่วงต้นสัปดาห์ หลังจากที่ธปท.ได้ออกมากล่าวเตือนว่ามาตรการป้องกันความเสี่ยงล่วงหน้าเต็มจำนวน ไม่ได้ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ประกอบกับมีความต้องการเงินดอลลาร์ฯ จากผู้นำเข้า และแรงซื้อดอลลาร์ฯ ที่นักค้าเงินคาดว่าจะเป็นการเข้าแทรกแซงค่าเงินจาก ธปท. ก็ตาม อย่างไรก็ตาม เงินบาทอ่อนแรงลงชัดเจนในวันศุกร์ ตามทิศทางการอ่อนค่าของเงินสกุลภูมิภาคเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ ประกอบกับทิศทางเงินบาทที่อ่อนค่าลง ส่งผลให้นักลงทุนสถาบันปรับโพสิชั่นด้วยซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ ทั้งนี้ ในวันศุกร์ที่ 23 มีนาคม เงินบาทปิดที่ 34.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในตลาดในประเทศ ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับปลายสัปดาห์ก่อนหน้า

ในสัปดาห์นี้ (26-30 มีนาคม 2550) ธนาคารพาณิชย์จะมีการปิดสำรองสภาพคล่องรายปักษ์ในวันอังคารและเริ่มเข้าสู่ปักษ์ใหม่ในวันพุธ ในขณะที่ การเตรียมสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์เพื่อรองรับการเบิกถอนเงินสดของลูกค้าในช่วงสิ้นเดือน และความต้องการกู้ยืมที่อาจมีเพิ่มขึ้นในช่วงปิดงวดบัญชีสิ้นปีของญี่ปุ่น อาจทำให้สภาพคล่องในตลาดเงินตึงตัวขึ้นเล็กน้อย อัตรากลางของอัตราดอกเบี้ยอินเตอร์แบงก์ประเภทข้ามคืนจึงอาจขยับขึ้นเล็กน้อย หรือปรับตัวในกรอบประมาณ 4.55-4.56%


 กลับขึ้นบน
พ๊ง
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 410
#1 วันที่: 24/03/2007 @ 10:01:11 :
ด้านค่าเงินบาทในตลาดในประเทศ คาดว่าจะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบประมาณ 34.70-35.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทมีโอกาสแกว่งตัวอยู่ในกรอบที่อ่อนค่าลงต่อ หากยังมีแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ ต่อเนื่องจากปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่ ปัจจัยหนุนสำหรับเงินบาท จะยังคงเป็นแรงเทขายเงินดอลลาร์ฯ ของผู้ส่งออก

การเคลื่อนไหวของเงินเยนและเงินยูโร
เงินเยนอ่อนค่าลงในสัปดาห์ที่ผ่านมา ในช่วงต้นสัปดาห์ เงินเยนลดช่วงบวกที่ทำไว้ในวันศุกร์ก่อนหน้า โดยถึงแม้ว่าเงินเยนจะได้รับแรงหนุนในช่วงแรกจากการที่ทางการจีนปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่สามในรอบเกือบหนึ่งปีในช่วงสุดสัปดาห์ ซึ่งสร้างความวิตกต่อผลกระทบต่อตลาดหุ้น แต่การปรับขึ้นของดัชนีตลาดหุ้น NIKKEI ก็ช่วยคลายความกังวลว่านักลงทุนจะลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงต่อไป อีกทั้งกระตุ้นให้มีการทำ Carry Trade ประกอบกับเงินดอลลาร์ฯ ถูกกดดันจากการที่นิตยสาร Emerging Markets รายงานคำกล่าวของนายโจว เสี่ยวฉวน ผู้ว่าการธนาคารกลางจีนว่า ทางการจีนไม่ตั้งใจที่จะเพิ่มทุนสำรองอีก ในขณะที่การประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.5% เท่าเดิมของธนาคารกลางญี่ปุ่นในวันอังคารนั้น แทบไม่มีผลกระทบต่อตลาด เนื่องจากออกมาสอดคล้องกับการคาดการณ์ อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลางสัปดาห์ เงินเยนฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย หลังจากที่เงินดอลลาร์ฯ เผชิญปัจจัยลบจากการปรับถ้อยแถลงภายหลังการประชุมนโยบายการเงินของเฟด โดยไม่ได้ส่งสัญญาณถึงแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย (Tightening Bias) ชัดเจนเหมือนกับการประชุมครั้งก่อนๆ หน้า ทำให้ตลาดตีความว่าเฟดอาจพร้อมที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเร็วๆ นี้ ในขณะที่เฟดคงอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ไว้ที่ 5.25% ตามความคาดหมายของนักวิเคราะห์ สำหรับในช่วงท้ายสัปดาห์ เงินเยนอ่อนค่าลงอีกครั้ง เนื่องจากนักลงทุนตีความถ้อยแถลงของเฟดอีกครั้ง โดยมองว่าเฟดตั้งใจจะปรับท่าทีให้เป็นกลางมากขึ้น และอาจไม่ได้ส่งสัญญาณว่าจะลดอัตราดอกเบี้ย เพราะแถลงการณ์ดังกล่าว ยังระบุถึงความวิตกเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ ปัจจัยดังกล่าวทำให้นักลงทุนบางส่วนรู้สึกว่าได้ขายดอลลาร์ฯ มากเกินไปในช่วงก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ ในวันศุกร์ที่ 23 มีนาคม เงินเยนมีค่าเฉลี่ยที่ 118.03 เยน/ดอลลาร์ฯ เทียบกับ 116.84 เยนต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงปลายสัปดาห์ก่อนหน้า

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินยูโรเคลื่อนไหวค่อนข้างผันผวน ในช่วงต้นและกลางสัปดาห์ เงินยูโรแกว่งตัวในกรอบแคบๆ เนื่องจากตลาดรอผลการประชุมนโยบายการเงินเป็นระยะเวลาสองวันของเฟด ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันพุธ โดยเงินยูโร/ดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลงบ้างเล็กน้อยในวันอังคาร อันเป็นผลทางจิตวิทยาจากการอ่อนค่าลงแรงของเงินยูโร/ปอนด์สเตอริงของอังกฤษ หลังจากที่อังกฤษเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อที่สูงเกินคาด ซึ่งกระตุ้นการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่จะยังอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม เงินยูโรแข็งค่าขึ้นเข้าหาระดับสูงสุดในรอบสองปีในวันพฤหัสบดี หลังจากตลาดตีความถ้อยแถลงภายหลังการประชุมนโยบายการเงินในวันพุธของเฟดว่า การดำเนินการถัดไปของเฟดคงจะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ย ในขณะที่ตลาดคาดว่าธนาคารกลางยุโรปยังมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากระดับ 3.75% ในปัจจุบัน ส่วนในวันศุกร์ เงินยูโรลดช่วงบวกลง หลังจากที่ตลาดตีความถ้อยแถลงของเฟดใหม่ และทำให้เชื่อมั่นมากขึ้นว่าเฟดอาจยังไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้นี้ ทั้งนี้ ในวันศุกร์ที่ 23 มีนาคม เงินยูโรมีค่าเฉลี่ยที่ 1.3332 ดอลลาร์ฯ เทียบกับ 1.3310 ดอลลาร์ฯ ในช่วงปลายสัปดาห์ก่อนหน้า

ภาวะตลาดทุน
ตลาดหุ้นไทย
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 677.79 จุด เพิ่มขึ้น 1.0% จากระดับปิดที่ 671.05 จุดในสัปดาห์ก่อน แต่ลดลง 0.3% จากสิ้นปีก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสัปดาห์ลดลง 10.4% จาก 45,142.38 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อนหน้ามาอยู่ที่ 40,446.35 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ลดจาก 9,028.48 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 8,089.27 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 196.61 จุด ขยับขึ้น 1.7% จาก 193.38 จุดในสัปดาห์ก่อน และ 1.6% จากสิ้นปีก่อน

ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ โดยนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิที่ 1.1 พันล้านบาท และ 18.9 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิที่ 1.12 พันล้านบาท ตามลำดับ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวในกรอบแคบก่อนที่ปิดตลาดลดลงเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางที่ระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือนที่ 6,084.61 ล้านบาท โดยมีแรงขายในหุ้นกลุ่มหลักทั้ง กลุ่มธนาคาร พลังงาน และอสังหาริมทรัพย์ ส่วนในวันอังคารนั้น ตลาดหุ้นได้รับแรงบวกจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีอื่นๆ ในภูมิภาค แต่ดัชนียังคงถูกจำกัดโดยความไม่แน่นอนเกี่ยวกับปัจจัยภายในประเทศ ส่งผลให้กรอบการปรับขึ้นเป็นไปอย่างจำกัด ขณะที่มีแรงซื้อหุ้น บมจ.ยูไนเต็ด คอมมูนิเกชั่น จากข่าวที่ว่า บมจ.โทเทิล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเกชั่นจะเข้าทำคำเสนอซื้อหุ้นดังกล่าว ดัชนีปรับตัวในแดนลบตลอดวันในวันพุธ จากแรงขายทำกำไรหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มธนาคาร และกลุ่มพลังงาน โดยหุ้นในกลุ่มพลังงานยังร่วงลงตามทิศทางของราคาน้ำมันในตลาดโลก ขณะที่ในวันพฤหัสบดีนั้น ดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวกตลอดวัน ตามการทะยานขึ้นของตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ คงอัตราดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดไว้ และจากข่าวการที่บริษัทเจพี มอร์แกนปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ส่งผลให้มีแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงานและธนาคารเข้ามา ส่วนในวันศุกร์นั้น ดัชนีปรับตัวในกรอบแคบจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ และยังคงไม่มีปัจจัยใหม่ๆมาช่วยกระตุ้นการซื้อขาย แต่สามารถปิดบวกที่ระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ได้จากแรงซื้อหุ้นกลุ่มหลักทั้งพลังงาน ธนาคารและกลุ่มก่อสร้าง

[/color:87b3e515dc">
 กลับขึ้นบน
พ๊ง
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 410
#2 วันที่: 24/03/2007 @ 10:02:08 :
สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์หน้า (26-30 มีนาคม 2550) ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ดัชนีมีแนวโน้มปรับตัวในกรอบแคบ โดยปัจจัยภายในประเทศที่นักลงทุนคงจะให้ความสนใจ ได้แก่ นโยบายเศรษฐกิจของทางการ ทิศทางของค่าเงินบาท และการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญประจำเดือนกุมภาพันธ์โดยธนาคารแห่งประเทศไทยในวันศุกร์ แม้ว่าดัชนีอาจจะได้รับแรงกดดันจากการที่หุ้นหลายตัวจะขึ้นเครื่องหมาย XD แต่อาจจะมีแรงซื้อเพื่อทำราคาปิดงวดบัญชีสิ้นไตรมาส 1/2550 ส่วนด้านปัจจัยภายนอกประเทศ ที่ส่งผลต่อทิศทางตลาดหุ้น ได้แก่ การปรับฐานของตลาดหุ้นต่างประเทศ และแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลก ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยคาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 672 และ 666 จุด แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 684 และ 700 จุด ตามลำดับ

ตลาดหุ้นสหรัฐฯและญี่ปุ่น
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี DJIA ทะยานขึ้น หลัง FOMC คงอัตราดอกเบี้ยตามคาด โดยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2550 ดัชนี DJIA ปิดที่ 12,461.14 จุด เพิ่มขึ้น 3.05% จาก 12,110.41 จุดเมื่อสัปดาห์ก่อน แต่ลดลง 0.02% จากสิ้นปีก่อน ขณะที่ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 2,451.74 จุด เพิ่มขึ้น 3.33% จาก 2,387.55 จุดในสัปดาห์ก่อน และ 1.51% จากสิ้นปีก่อนหน้า ตลาดหุ้นสหรัฐฯขยับขึ้นตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยในวันจันทร์และวันอังคาร ดัชนีได้ปัจจัยบวกจากข่าวเกี่ยวกับการทำข้อตกลงควบรวมกิจการในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งในภาคการเงินระหว่างธนาคารบาร์เคลยส์ของอังกฤษและเอบีเอ็น แอมโรของเนเธอร์แลนด์ ตลอดจน อุตสาหกรรมพลังงานและเทคโนโลยี ขณะที่การรายงานตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านที่แข็งแกร่งเกินคาดในเดือนกุมภาพันธ์ ได้ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับภาวะหนี้เสียในธุรกิจจำนองสำหรับผู้กู้ยืมที่มีความน่าเชื่อถือต่ำหรือซับไพรม์ ซึ่งได้กดดันการปรับตัวของตลาดหุ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนในวันพุธและวันพฤหัสบดีนั้น ดัชนี DJIA และ NASDAQ พุ่งขึ้น หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯลงมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 5.25%ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แต่นักลงทุนตีความแถลงการณ์หลังการประชุมว่าเป็นการส่งสัญญาณถึงโอกาสที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ซึ่งช่วยหนุนราคาหุ้นในกลุ่มการเงินที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย เช่น หุ้นมอร์แกน สแตนเลย์ และหุ้นซิตี้กรุ๊ป อิงค์ เป็นต้น นอกจากนั้น การเร่งตัวขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม กรอบการปรับตัวของดัชนีในวันพฤหัสบดีถูกจำกัดโดยความกังวลเกี่ยวกับตลาดซับไพรม์อีกครั้งหนึ่ง หลังบริษัทคันทรีไวด์ ไฟแนนเชียล คอร์ปกล่าวว่า การผิดนัดชำระหนี้เงินกู้ปีที่ผ่านมา อาจจะสูงเกินกว่าในปีที่เลวร้ายที่สุดของบริษัท

ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ดัชนี NIKKEI พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ เมื่อวันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2550 ดัชนี NIKKEI ปิดที่ 17,480.61 จุด พุ่งขึ้น 4.4% จากปิดตลาดที่ 16,744.15 จุด เมื่อสัปดาห์ก่อน และ 1.48% จากสิ้นปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นญี่ปุ่นทะยานขึ้นถึง 265.4 จุดเมื่อวันจันทร์และ 153.65 จุดเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยการอ่อนค่าลงของเงินเยนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ฯ ได้เป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนราคาหุ้นในกลุ่มส่งออกขนาดใหญ่ และราคาหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวขึ้นจากการคาดการณ์เกี่ยวกับข้อมูลรายงานราคาที่ดินที่แข็งแกร่งของรัฐบาลที่จะมีการเปิดเผยในวันพฤหัสบดี นอกจากนั้น ดัชนี NIKKEI ยังได้รับแรงหนุนจากการทะยานขึ้นของตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นต่างประเทศอื่นๆ และแรงซื้อกลับหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีที่ร่วงลงในช่วงก่อนหน้า ทั้งนี้ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการในวันพุธ โดยในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์นั้น ตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังคงรักษาแรงบวกได้อย่างต่อเนื่อง ตามการทะยานขึ้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยหุ้นกลุ่มส่งออกขนาดใหญ่ได้รับปัจจัยบวกจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต อันจะเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของญี่ปุ่น ส่วนหุ้นในกลุ่มเหล็กกล้าปรับตัวขึ้นได้จากแนวโน้มผลประกอบการที่แข็งแกร่งและข่าวเกี่ยวกับการควบรวมกิจการในธุรกิจดังกล่าว ประกอบกับมีแรงซื้อหุ้นในกลุ่มการเงินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากนักในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ดัชนี NIKKEI สามารถปิดบวกขึ้นไปอยู่ที่ 17,480.61 จุด อันเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

[/color:fcf4a3fc22">
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com