เจาะเบื้องหลังแผนจ่ายเงินปันผล บมจ.พรพรหมเม็ททอล (PPM) ภายหลังผู้บริหารกลั้นใจจ่ายให้ถึงหุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 52% ของกำไรสุทธิ..เพิ่มภูมิคุ้มกันราคาหุ้น คาดล่อรายย่อยเข้ามาเสี่ยงกับแผน "เพิ่มทุน" ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไม่ไกลจากนี้


ชำนาญ พรพิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.พรพรหมเม็ททอล อธิบายถึงการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่ปรับระดับสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จาก 1.85 บาท เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2549 ขึ้นมาสูงสุด 6.80 บาท เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2550 ว่า การปรับตัวสูงขึ้นของราคาหุ้น PPM มาจากผลการดำเนินงานที่เติบโตขึ้น 357%

เพราะฉะนั้น เงินปันผลที่อนุมัติจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ที่หุ้นละ 0.50 บาท (ปีก่อนจ่ายหุ้นละ 0.08 บาท) จึงถือเป็นการตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นที่ให้ความเชื่อมั่นต่อบริษัท

"...ไม่มีนัยอะไรซ่อนอยู่ และไม่ได้ต้องการล็อกราคาหุ้น เพื่อหวังผลจากการเพิ่มทุนอย่างที่ตั้งข้อสังเกตกันไว้"

ซึ่งก่อนหน้านี้ บริษัทได้ชี้แจงหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และทันหุ้น ฉบับวันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2550 ได้ลงข่าวเกี่ยวกับการเพิ่มทุน โดยชี้แจงว่าบริษัทอยู่ในขั้นตอนของการศึกษา ซึ่งคาดการณ์ว่าจะสรุปได้ภายในสิ้นเดือนมีนาคม 2550

ประเด็นก็คือ มีการมองกันว่าผู้บริหารพยายามที่จะยื้อเวลาด้วยการเลื่อนวันปิดสมุดทะเบียน เพื่อสิทธิในการรับเงินปันผล ไปเป็นวันที่ 10 พฤษภาคม 2550 ซึ่งล่าช้ากว่าสองปีแรก (2548 และ 2549) ประมาณเดือนกว่านั้น เพราะต้องการพยุงราคาหุ้น รอความชัดเจนของแผนเพิ่มทุนที่อยู่ระหว่างการพิจารณา

"ไม่มีความจำเป็นที่ต้องไปทำอย่างนั้น" ชำนาญชี้แจง

พร้อมทั้งกล่าวว่า โดยส่วนตัวยังเชื่อว่าบริษัทยังไม่น่าจะต้องเพิ่มทุน หรือถ้าต้องเพิ่มทุนก็จะทำให้เกิดผลกระทบกับผู้ถือหุ้นน้อยที่สุด แต่ที่บริษัทยังไม่ฟันธงออกไปว่าจะเพิ่มหรือไม่..ขอเวลาเราอีกหน่อย

ผู้บริหารพรพรหมเปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทอาจมีโครงการลงทุนในลักษณะ "ร่วมทุน" กับพันธมิตรจากเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นผู้ผลิตทองแดงรายใหญ่ของโลกด้วยกระบวนการผลิตตั้งแต่การหลอมแร่ และกำลังให้ความสนใจย้ายฐานการผลิต (ทองแดง) เข้ามาในประเทศไทย และยอมรับว่า หากโครงการนี้เกิดความชัดเจน แผนพิจารณาการ "เพิ่มทุน" ก็อยู่ในทางเลือกเช่นกัน

แต่ถ้าทางพันธมิตรใหม่จะให้บริษัทเข้าไปร่วมทุนในลักษณะของ "ไซเลน พาร์ทเนอร์" (Silence Partner) หรือการทำธุรกิจร่วมกันเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง อย่างนั้น เราก็ไม่เอา..และคงจะไม่เห็นการเพิ่มทุน

"แนวทางของเราคือการเป็น Strategic Partner ในระยะยาว" ชำนาญอธิบาย ก่อนกล่าวต่อไปว่า

สำหรับความคืบหน้าของโครงการก่อสร้างอาคารคลังสินค้าและการจัดตั้ง Metal Coil Center ซึ่งอาจต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท โดยจะเป็นในลักษณะของการร่วมทุนกับพันธมิตร

"ตอนนี้ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะเริ่มสร้างได้เมื่อใด จึงยังไม่สามารถระบุแหล่งเงินลงทุนได้ เพราะวิธีการกู้เงินจากสถาบันการเงินก็อยู่ในทางเลือก หลังดอกเบี้ยมีแนวโน้มขาลง แต่คงต้องดูรายละเอียดและเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อประกอบด้วย"

ผู้บริหารรายนี้กล่าวถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2550 ว่า บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายรวมไว้ไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตราว 12% เมื่อเทียบกับยอดขายปีที่แล้ว ที่ 2,707 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 152.70 ล้านบาท ซึ่งหากดูจากยอดขายช่วง 2 เดือนแรกของปี ก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์บรรลุเป้าหมาย

อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่กำไรสุทธิของบริษัทในปีที่ผ่านมา..เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 357% เป็นเพราะการปรับขึ้นของราคาผลิตภัณฑ์โลหะ โดยเฉพาะทองแดงที่ปรับสูงขึ้นไปถึงเท่าตัว (100%) ในระหว่างปี 2549 และถือเป็นอีกวัตถุดิบหลักของบริษัท แต่ในปีนี้ ..โอกาสเช่นนั้นคงไม่เกิดขึ้นอีก หลังจากราคาทองแดงเริ่มปรับตัวลดลง

--------------------------------------------------

8O 8O 8O 8O 8O