ต้อง "อดทน" รออีกนานแค่ไหน ? ฟ้าถึงจะ "เปิด" สำหรับ "คิวคอน" ยังเป็นคำถามคาใจที่ผู้ถือหุ้นยังต้องเฝ้ารอลุ้นคำตอบ...แต่จนแล้วจนรอด ปี 2549 ผ่านไป วันฟ้าหม่นของคิวคอน ก็ยังไม่ผ่านพ้นไป


ไร้คำตอบฟันธงสำหรับคำถามถึง "วันฟ้าเปิด" จากปากผู้บริหาร อย่างดีที่สุด ที่ พยนต์ ศักดิ์เดชยนต์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ควอลิตี้คอนสตรัคชั่นโปรดัคส์

(Q-CON) พอจะให้ความมั่นใจกับผู้ถือหุ้นได้ ก็คือ ปีนี้ คิวคอนคงไม่น่าจะ "ตกต่ำ" ไปกว่านี้แล้ว

หลังจากปี 2549 ที่ผ่านมา คิวคอนฟอร์มตกไปถนัดตา ด้วยกำไรติดลบสุดขีด ขาดทุนไป 81 ล้านบาท และทำรายได้ 902 ล้านบาท เติบโตเพียง 7%

ต่ำกว่าเป้าหมาย 1,040 ล้านบาท ที่เคยตั้งเอาไว้ เพราะสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรง ต้นทุนปรับขึ้นขณะที่ราคาไม่สามารถปรับขึ้น และดีมานด์ในประเทศไม่ได้เติบโตอย่างที่หวัง

แต่ถึงจะพลาดท่าขาดทุน แม่ทัพคิวคอนรายนี้ก็ยัง "ยิ้มได้" พร้อมปลอบใจผู้ถือหุ้นขอให้มั่นใจว่า แนวโน้มจากนี้ไปทิศทางน่าจะดีขึ้น ภายหลังปีนี้ มีโอกาสบุกขยายตลาดส่งออกได้มากขึ้น หลังจากต้นทุนค่าขนส่งระวางเรือ และปัญหาราคาน้ำมันเริ่มเบาบางลง

ขณะที่แนวโน้มการห้ำหั่นสงครามราคาอิฐมวลเบาในประเทศ ประเภท "เฉือนเนื้อเลือดสาด" คงลดดีกรีลงมา หลังผ่านบทเรียนราคาแพงที่ต่างฝ่ายต่างเจ็บตัว "ขาดทุน" กันไปถ้วนหน้า แนวโน้มราคาปีนี้จึงน่าจะปรับตัวดีขึ้น จากราคาปีที่แล้ว 120-125 บาท/ตารางเมตร ปีนี้เป้าหมายน่าจะขยับไปได้ถึง 130-140 บาท /ตารางเมตร

พยนต์อธิบายว่า ถึงแม้ตัวเลขทางบัญชี ตัวเลขกำไรสุทธิปี 2549 จะขาดทุน แต่ถ้าพิจารณาถึง "เนื้อใน" แล้ว ผลการดำเนินงานของเราไม่ได้มีปัญหา ฐานะทางการเงินยังคงดีอยู่ ตัวเลขกระแสเงินสดก็ยังเป็นบวก

แต่ปัญหาที่แท้จริงของคิวคอน มาจากการแบกรับภาระค่าเสื่อมโรงงาน และภาระดอกเบี้ยจ่าย จากการลงทุนขยายกำลังการผลิต โดยปีที่ผ่านมา คิวคอนต้องตัดจ่ายค่าเสื่อมราคาทั้ง 4 โรงงาน รวมกันสูงถึง 190 ล้านบาท เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ตัวเลขกำไรสุทธิของคิวคอนต้องขาดทุน 81 ล้านบาท แม้ว่าบริษัทจะมีอัตรากำไรขั้นต้น 19% หรือ 174 ล้านบาท

แม้จะมั่นใจเต็มร้อยว่าในสมรภูมิตลาดอิฐมวลเบา สุดท้ายแล้ว คิวคอนจะยังคงเป็น "ผู้นำ" ครองมาร์เก็ตแชร์อันดับ 1 สัดส่วน 60%

ทั้งยังกุมความเหนือกว่าคู่แข่งด้วยไลเซ่นเทคโนโลยีการผลิตของ HEBEL ที่เป็นหนึ่งในธุรกิจนี้ ที่สำคัญ คือแผนชิงลงทุนขยายกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 4 โรงงาน รวมแล้ว 12 ล้านตารางเมตร ในมือ เสริมเขี้ยวเล็บพร้อมจะฟาดฟันคู่แข่งสุดฤทธิ์

แต่สุดท้าย "เขี้ยวเล็บ" ที่ไม่ได้ใช้ เพราะสถานการณ์ตลาดไม่เอื้ออำนวย ที่ลงทุนไปแล้วก็เลยผิดแผน พลิกผันให้คิวคอนไม่ต่างจากสภาพของ..."เสือลำบาก"

ต้องปรับกลยุทธ์ประคับประคองตัว แก้เกมหันมาบุกตลาดส่งออกเพื่อระบายสินค้า ท่ามกลางภาวะตลาดอิฐมวลเบาในประเทศที่ยัง "โอเวอร์ซัพพลาย" ควบคู่กับการเดินเกมขยายจำนวนเอเย่นต์เพิ่มจาก 370 ราย เป็น 450 รายในปีนี้ และสยายปีกสู่ต่างจังหวัด โดยเฉพาะภาคตะวันออก

ปัจจุบัน ผู้ผลิตอิฐมวลเบา 5 ราย มีกำลังการผลิตประมาณ 23 ล้านตารางเมตร เทียบกับความต้องการของตลาดรวมในปี 2549 ที่มี 11 ล้านตารางเมตร ตลาดในประเทศจึงอยู่ในภาวะล้นตลาด และมีการแข่งขันที่รุนแรง

"สมัยย้อนกลับไปก่อนที่เราจะเข้าตลาด ในปี 2547 คิวคอนเราเคยมี Gross Margin สูงถึง 50 กว่าเปอร์เซ็นต์ กำไรดีมาก แต่พอเข้าตลาด ต้องโชว์ตัวเลขให้ดู ใครเห็นก็เลยเข้าลงทุนตามๆ กันเยอะแยะไปหมด

ถ้าเศรษฐกิจดี มันก็ไม่มีปัญหา แต่พอเศรษฐกิจหดตัว ถึงจะแย่ แต่เราก็ยังเก่ง เรายังได้มากที่สุดในตลาด เพียงแต่ตลาดตอนนี้มันใหญ่ไม่พอสำหรับเรา เพราะเรามีตั้ง 4 โรงงาน ทางออกก็คือ เราต้องหาทางส่งออก และเร่งทำตลาดควบคู่กันทั้งในและต่างประเทศให้ได้เยอะที่สุด"

เมื่อยิงคำถามว่า ปีนี้ ระหว่างพลิกกลับมาทำกำไร และขาดทุนน้อยลง โอกาสสำหรับ "คิวคอน" น่าจะทำได้ดีขนาดไหน ?...

"ก็คงต้องเป็นไปในทางบวก คือ กำไรจากลบก็คงต้องเป็นบวก เราคงต้องพยายามทำให้ได้" ผู้บริหารคิวคอนกล่าว และเชื่อว่าปีที่ผ่านมา น่าจะเป็นจุดต่ำสุดแล้วสำหรับคิวคอน

ส่วนวัน "ฟ้าเปิด" ของ "คิวคอน" จะมาถึงเมื่อไหร่นั้น ยังเป็นความหวังที่ต้องรอลุ้น แต่ที่แน่ๆ ราคาหุ้น "คิวคอน" ในรอบ 2 ปีมานี้ มีแต่สาละวันเตี้ยลงๆ ล่าสุดวิ่งอยู่แถวๆ 2 บาท ต่ำกว่าราคาจอง 8 บาท อย่างไร้วี่แววว่าจะพลิกดีดตัวกลับขึ้นมา ต้องรออีกนานแค่ไหน !

---------------------------------------------

8O 8O