หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจรายวัน กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของประเทศ ฉบับวันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2550 ไม่อยากคิด แต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่า เมืองไทยเราเวลานี้ สัญญาณชีพ ทรุดลงแทบจะทุกด้าน
@ ค่าเงินบาท เอาไม่อยู่ ไฟใต้ ยากจะดับ ความสมานฉันท์ภายในชาติ นับวันยิ่งแตกกระสานซ่านเซ็นบรรยากาศเศรษฐกิจ ก็ตกต่ำแทบเป็นศูนย์ หาข่าวดีแต่ละวันได้ยากเย็นแสนเข็ญเสียเหลือเกิน
@ ต้นตอความเซ็งในอารมณ์ มีที่มาจากแบงก์ชาติของเด็กดื้อที่ชื่อ ธาริษา วัฒนเกสไม่ใช่น้อย
@ ขนาดทุ่มเงินจ้างที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ระดับโลกอย่างโอกิลวี่มาแล้วนะ แต่ถามหน่อยเถอะ วันนี้มีสื่อฉบับไหน นักการเงิน นักธุรกิจ นักวิชาการสำนักใดบ้าง ยกมือเชียร์มาตรการหลุดโลก สำรองทุน30%บ้าง
@ ข่าวลึกแต่ไม่ลับที่เล็ดรอดมาถึงหูดาวเขียวถึงฟางเส้นสุดท้าย ทำให้แบงก์ชาติต้องตัดสินใจมาตรการโหด ก็คือ ฝ่ายตรวจสอบสถาบันการเงินของตัวเอง เกิดไปค้นพบลูกหนี้ฐานะล่อแหลม เป็นบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ 2 รายขึ้นมา ก็เลยจี้แบงก์เจ้าหนี้ ให้เรียกเงินลูกหนี้ 2 รายนั้นมาคืนทันที
@ ลูกหนี้ 2 รายนั้น ก็ต้องบากหน้าไปกู้เงินนอกเข้ามา ได้เงินดอลลาร์มาชำระหนี้บาทในเดือนธ.ค. รวมๆกันเป็นตัวเลขสูงถึง 1.1 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งตัวขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง
@ ถึงตอนนั้น ก็เหมือน"เจ๊กตื่นไฟ"แล้ว เพราะยิ่งค่าเงินบาททะยานขึ้น ทุนสำรองเงินตราในพอร์ตของแบงก์ชาติ ก็ยิ่งขาดทุนหนัก ประกอบกับใกล้จะสิ้นปี ที่จะต้องคิดค่าเงินตราตามราคาตลาด ซึ่งจะแสดงตัวเลขขาดทุนแดงเถือก แบงก์ชาติถึงต้องหามาตรการเขย่าโลก ที่จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลงอย่างฉับพลันทันที เพื่อจะลดผลขาดทุนลง
@ ก็ได้ผลสำหรับแบงก์ชาติ ที่สามารถจะบรรเทาการขาดทุนลงได้ประมาณ 5.6 หมื่นล้านบาทแทนที่จะขาดทุนทั้งสิ้น 2.4 แสนล้านบาท ตัวเลขถึงได้ออกมาว่าขาดทุนเงินตราประมาณ 1.7 แสนล้านบาท ที่แบงก์ชาติแถลงไง
@ เห็นหรือยังล่ะว่า มาตรการ 18 ธ.ค.ออกมา ปัจจัยหลักมิใช่จากสาเหตุโจมตีค่าเงินเลย แต่เกิดจากความผิดพลาดในการบริหารเงินตราของแบงก์ชาติมากกว่า สำคัญที่สุดก็คือ ต้องการจะหนีเอาตัวรอดจากผลขาดทุนตอนปิดบัญชีสิ้นงวดซึ่งจะต้อง"mark-to-the-market value"กับเงินตราต่างประเทศที่แบงก์ชาติมีอยู่
@ วันศุกร์ที่ผ่านมา ก็เห็น"มือใหญ่"จากแบงก์ชาติ เข้ามาแทรกแซงตลาดหนักมือขึ้น เงินบาทเนี้ยะ หมุนเป็นลูกข่าง จากเปิดเช้า 34.65 บาท/ดอลลาร์ ดันอ่อนข้ามมาที่ 35.06บาท แต่แล้วยืนระยะไม่ได้ ก็ต้องมาปิดที่ 35.90 บาท เห็นแล้วยิ่งไม่สบายใจที่แบงก์ชาติถลำลึกไปสู่ความพินาศของบ้านเมืองเข้าไปทุกที เฮ้อ! ละเหี่ยใจ
@ บ้านเมืองไทยออกปั่นป่วนปานนี้ แต่วาณิชย์ธนกิจชื่อดัง เจพี มอร์แกน กลับมองโลกในแง่ดี แนะนำลูกค้าให้เพิ่มน้ำหนักลงทุน
@ หุ้นไทยราคาต่ำสุด เพราะการรัฐประหารและการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่ผิดพลาด แต่ตลาดก็รับข่าวร้ายไปหมดแล้ว มองค่าบาทแข็ง แนวโน้มดอกเบี้ยลด กลับจะทำให้ตลาดหุ้นไทยน่าช็อปมากยิ่งขึ้น มองเหตุการณ์คล้ายตลาดหุ้นเกาหลีปี2005 ที่ให้ผลตอบแทนลงทุนสูงถึง20%ไปโน่น
@ ก็ไม่ถึงกับจะเป็นยาหอมทีเดียวหรอกนะ ดูแล้วก็เข้าเค้าหลายอย่าง แต่สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างเกาหลีกับไทยอย่างมีนัยสำคัญ ก็คือ เกาหลีมีทิศทางฟื้นเศรษฐกิจที่ชัดเจน ส่วนของไทยวันนี้ เหมือนเรือขาดหางเสือ ไม่รู้ใครจะนำพาประเทศไปทางใด ปัจจัยนี้กระมัง ทำให้มิอาจเคลิบเคลิ้มไปกับคุณพี่เจพีได้
@ ทิศทางการลงทุน ก็เล่นกันแบบสั้นๆ เข้าไวออกไวนี่แหละ หรือ"เวท แอนด์ ซี"ช่วงนี้ได้ยิ่งดีรอให้อะไรมันเละจนสุดๆเสียก่อนนั่นแหละ สิ่งดีงามถึงจะเกิดตามมา

ที่มา ข่าวหุ้น