April 29, 2024   3:34:28 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > กระซิบหน้าจอ
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 26/03/2007 @ 11:20:16
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

SET Index วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2550 ปิดที่ดัชนี 677.79จุด +2.95จุด มูลค่าการซื้อขาย 9,452 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 743.79ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 105.71 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 638.08 ล้านบาท SET Index ทำ High ที่ 678.11จุด +3.27 จุด และ Low ที่ 674.95 จุด +0.11 จุด จากสภาวะเงินดอลล่าร์อ่อนค่าลงส่งผลให้ค่าเงินของแต่ละประเทศแข็งค่าขึ้นซึ่งรวมถึงไทยเราเองด้วย แต่ดูเหมือนว่าบ้านเราจะได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคเนื่องจากค่าเงินบาทของเราได้แข็งค่าขึ้นมามากก่อนหน้านี้ (ตอนนี้ค่าเงินบาทบ้านเรายิ่งแข็งโป๊ก) ซึ่งก็ส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจโดยตรงแต่ทาง รมว.คลังและผู้ว่าการแบงค์ชาติได้ติดตามสถานการณ์เรื่องนี้อย่างใกล้ชิด โดยค่าของเงินบาทได้แข็งค่าขึ้นมาแล้วในปีนี้เกือบ 4% จากสิ้นปีก่อนเป็นระดับที่แข็งค่าที่สุดในรอบกว่า 9 ปี และทางแบงก์ชาติยังอออกมายอมรับหน้าตาเฉย!ว่าได้ละเลงงบประมาณทุนสำรองของประเทศ 1 ล้านล้านบาทเพื่ออุ้มค่าเงิน ด้วยการรับซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐและมีการซื้อฟอร์เวิร์ดใกล้เคียงกับตัวเลขจริง และใช้ดูดซับสภาพคล่องโดยการออกพันธบัตรและกิจกรรมอื่นๆ ของรัฐบาลด้วย

PLE ราคาเปิด 6.20 บาท ราคาปิด 6.35 บาท มูลค่าการซื้อขาย 38.95 ล้านบาท ในปี2550 คาดว่า PLE จะมีกำไรสุทธิสูงกว่าระดับ 121.19 ล้านบาท ซึ่งคาดจะได้รับงานใหม่ทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้น และได้เน้นแผนควบคุมต้นทุนมากขึ้น คาดว่าจะมีงานในมือสิ้นปี้นี้ใกล้เคียง 3 หมื่นล้านบาท จาก 2.7 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน ขณะเดียวกันก็เริ่มทยอยรับรู้รายได้จากงานในมือที่มีอยู่เดิมเข้ามาเรื่อยๆ ส่วนแผนการเพิ่มทุน 180 ล้านหุ้นให้กับนักลงทุนเฉพาะเจาะจง ต้องชะลอไว้ก่อน เนื่องจากจะระดมทุนด้วยวิธีอื่นในรูปของการออกหุ้นกู้ น่าจะดีกว่า K.KRAZIP แนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" แนวรับ 6.15 บาท แนวต้าน6.70 บาท

KEST ราคาเปิด 16.10 บาท ราคาปิด 16.20 บาท มูลค่าการซื้อขาย 16.94 ล้านบาท ในปี 2550 ผู้บริหารของ KESTมั่นใจว่าการที่ KEST เป็น บล. อันดับ 1 มีเจ้าหน้าที่การตลาดอยู่เป็นจำนวนมากจะสามารถจำหน่ายหน่วยลงทุนได้ไม่ยาก ซึ่งจะเป็นอีกทางเลือกการลงทุนอีกทางหนึ่งให้กับลูกค้า และยังเป็นการเพิ่มช่องทางในการหารายได้ KEST ยังมีงานวาณิชธนกิจอยู่ในมืออีกมาก ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับ Property fund ที่มีมูลค่าถึง 1-2 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ยังยังมีงาน IPO ที่มีความเป็นไปได้อีกประมาณ 3-5 บริษัท มูลค่าการระดมทุนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ส่วนแบ่งตลาดค่านายหน้าของ KEST กลับขึ้นมาอยู่อันดับ 1 เหมือนเดิม คาดว่า KEST จะมีกำไรสุทธิในQ1/50 อยู่ที่ 55 ล้านบาท ลดลงถึง 55.3%QoQ และ 74.3%YoYจากภาวะการซื้อขายใน ตลท. ที่ยังคงซบเซา และความไม่มั่นคงทางการเมือง
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามยังคาดว่า KEST จะมีการจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการปี 2550 จำนวน 0.85 บาท/หุ้น ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ "ซื้อลงทุน" แนวรับ 16 บาท แนวต้าน 16.70 บาท

MAJOR ราคาเปิด 16.00 บาท ราคาปิด 16.20 บาท มูลค่าการซื้อขาย 74.03
ล้านบาท อุตสาหกรรมภาพยนต์ดูเหมือนจะสามารถฝ่าฟันมรสุมนี้ได้ด้วยดี จากเหตุการณ์วางระเบิดในวันก่อนสิ้นปีมีผลกระทบต่อรายรับจากการขายบัตรชมภาพยนต์ในประเทศเพียงในระยะสั้น ยิ่งกว่านั้นตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ ภาค 1 และ 2 ได้รับการต้อนรับจากมหาชนอย่างล้มหลาม ทำให้รายรับจากการขายบัตรชมภาพยนต์เพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ โดยปกติไตรมาสแรกของปีจะเป็นช่วงที่โรงหนังเงียบเหงา แต่จากการเข้าฉายของตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ ไตรมาส 1/50 คงเป็นข้อยกเว้นในกรณีนี้ อย่างไรก็ดี เชื่อว่าตลาดได้ปรับตัวขึ้นรับข่าวดีด้านรายรับดังกล่าวของ MAJOR ไปเรียบร้อยแล้ว เชื่อว่ารายรับที่ดียังไม่ใช่ปัจจัยบวกสำคัญที่จะผลักดันราคาหุ้นของ MAJOR ในระยะสั้น และเห็นว่าเนื่องจากปกติรายรับจะพุ่งขึ้นสูงในไตรมาส 2 เป็นปกติอยู่แล้ว รายรับของ Major จะพุ่งสู่จุดสูงสุดในไตรมาสดังกล่าวและค่อย ๆ ลดต่ำลง
อย่างไรก็ดีเห็นว่าความมั่นใจของผู้บริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้นและรายการหนังที่อยู่ในความสนใจของผู้ชมในครึ่งหลังของปี 50 จะเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้บริษัทมีรายรับที่สูงขึ้น K.KRAZIP แนะนำ " ซื้อลงทุน" โดยมีแนวรับที่ 16.00 บาท แนวต้าน 16.60 บาท

STEC ราคาเปิด - ปิด 4.30 บาท มูลค่าการซื้อขาย 19.45ล้านบาท จากข่าวที่ออกมา STEC ได้เซ็นสัญญารับงาน 2 พันล้านบาท เพื่อก่อสร้างโครงการทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และจะมีการเซ็นสัญญาก่อสร้างงานระบบส่งน้ำที่ จ.นครราชสีมาใน 2Q07 อีกราว 2.2 พันล้านบาท เมื่อรวมมูลค่างานเหล่านี้เข้าด้วยกันจะทำให้มูลค่างานประมูลใหม่เพิ่มขึ้นราว 16% จากมูลค่า Backlog ณ สิ้นปี 2006 ซึ่งอยู่ที่ 2.55 หมื่นล้านบาท ในปี 2006 STEC ได้เซ็นสัญญาใหม่มูลค่า 1.16 พันล้านบาท ซึ่งลดลง 23% เมื่อเทียบกับปี 2005 ส่วนโครงการ Airport rail link จะรับรู้เป็นรายได้ราว 25-30% ของรายได้ทั้งหมดในปี 2007 โดย gross margin จะดีขึ้นเป็น 4.5% เมื่อเทียบกับที่ขาดทุนในปีที่แล้ว โดย STEC ได้รับส่งมอบที่ดินจากมักกะสันถึงพญาไทแล้ว ซึ่งจะทำให้ STEC สามารถดำเนินการก่อสร้างโครงการในส่วนที่เหลือได้ K.KRAZIP แนะนำ "ซื้อ" เนื่องจาก STEC เริ่มมีแรงซื้อเข้ามาหลังจากอ่อนตัวลงต่อเนื่อง ทิศทางระยะสั้นเริ่มกลับมาเป็นบวก มีโอกาสหยุดไหลไปจนถึงดีดกลับในช่วงสั้น โดยมีแนวรับที่ 4.24 บาท แนวต้าน 4.56 บาท

ที่มา ทันหุ้น[/color:2a6f1a808e">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com