April 29, 2024   7:49:04 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สิงห์เดย์เทรดใส่เกียร์ถอย SET เบนเข็มลุยหุ้น mai
 

arthor
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 803
วันที่: 26/03/2007 @ 12:16:58
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

สิงห์เดย์เทรดใส่เกียร์ถอย SET เบนเข็มลุยหุ้น mai


เปิดโผหุ้นเล็กจิ๋วแจ๋วผลตอบแทนสูงเอาใจสิงห์เดย์เทรดที่เบนเข็มหันเล่นหุ้นเล็กใน mai ช่วงตลาดหุ้นตายด้านไม่สนข่าวดี วอลุ่มห่อเหี่ยว งานนี้เซียนหุ้นเชียร์ L&E สุดลิ่มหลังปันผลมหาศาลทั้งเงิน-หุ้น รับ Dividend Yield สูงถึง 20.3% ส่วนใครซื้อไม่ทัน XD ให้หาจังหวะรอซื้อ ราคาหลัง XD 12.5 บาท มองอนาคตปีนี้สดในต่อเนื่อง ขณะที่ PR124-SLC-CMO ติดอันดับหุ้นที่คาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงที่สุด ด้าน S2Y-KASET ที่ถือเป็นตัวปลุกหุ้น mai ยังประเมินอนาคตไม่ได้

ตลาดหุ้นไทยเสมือนอยู่ในสภาวะตายด้าน ไม่ตอบสนองกับข่าวดี แต่หากข่าวร้ายเข้ามาก็พร้อมที่จะร่วงลงทันที แม้ว่าในสัปดาห์ก่อน จะมีข่าวดีในเรื่องของเจ พี มอแกนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย แต่ดัชนีฯก็กระเตื้องขึ้นไม่มาก ขณะที่มูลค่าการซื้อขายยังเบาบางไม่ถึง 1 หมื่นล้านบาท หุ้นขนาดใหญ่ถูกนักลงทุนเมิน แต่กลับมีการเข้ามาเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็กราคาต่ำกว่า 10 บาท ที่มีผลต่อดัชนีฯไม่มาก แต่มีความเสี่ยงสูงเพราะส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่เกิดจากแรงเก็งกำไรล้วนๆ โดยที่ไม่มีพื้นฐานสนับสนุน
ทั้งนี้ในจำนวนหุ้นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเก็งกำไร ถือว่าหุ้นเล็กจิ๋วแจ๋วในตลาดเอ็มเอไอหลายตัวก็ติดโผเข้ามาด้วย โดยเฉพาะ S2Y และ KASET ที่เป็นตัวนำขบวนมา แม้ว่าจะยังหาสามาเหตุของการปรับขึ้นไม่ได้ แต่หุ้นทั้ง 2 ตัวก็ยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง แต่ข้อเสียของหุ้นในตลาดเอ็มเอไออาจอยู่ที่ความสนใจที่มีเข้ามาเป็นบางครั้งบางคราวและในระยะสั้นเท่านั้น จากนั้นก็มีแรงขายทำกำไรออกมา ซึ่งนอกเหนือจากหุ้นทั้ง 2 บริษัทดังที่กล่าวมาแล้ว หากเจาะลึกลงไปในตลาด mai พบว่ายังมีหุ้นเล็กอีกหลายตัวที่มีความน่าสนใจ โดยเฉพาะในประเด็นของผลตอบแทนจากเงินปันผลที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งหากนักลงทุนสนใจหุ้นขนาดเล็กที่นิยมนำมาเก็งกำไร ก็น่าจะศึกษาในด้านของพื้นฐานและอัตราผลตอบแทนที่สูงไว้ด้วย เพื่อไม่ให้เป็นการเสี่ยงจนเกินไป

***โบรกฯเชียร์ L&E สุดลิ่ม
บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (L&E) ถือได้ว่าเป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากทั้งนักวิเคราะห์และนักลงทุนมากที่สุดตัวหนึ่งในตลาด mai หลังจากที่บริษัทฯประกาศปันผลแบบมหาศาลโดยการจ่ายปันผลเป็น 2 ส่วนคือ1) เงินปันผลที่อัตรา 0.37 บ./หุ้น คิดเป็นเงินปันผลจ่ายทั้งหมด 10.2 ลบ.และ 2) หุ้นปันผลที่อัตรา 3 หุ้นเดิมต่อ 2 หุ้นปันผล (รวมเป็นจำนวนหุ้นปันผลทั้งหมด 18,333,333 หุ้น) โดยหากเทียบมูลค่าหุ้นปันผลที่ราคาพาร์ 5 บ.คิดเป็นอัตราจ่ายเงินปันผลต่อหุ้นเท่ากับ 3.33 บ. ซึ่งเมื่อนำปันผลทั้ง 2 ส่วนรวมกันจะเท่ากับบริษัทประกาศจ่ายปันผลทั้งสิ้นในอัตรา 3.70 บ./หุ้น คิดเป็น Dividend Yield สูงถึง 20.3%
นอกจากนี้บริษัทยังได้อนุมัติให้มีการออก Warrant ในอัตรา 3 หุ้นเดิมต่อ 1 หน่วย Warrant คิดเป็นจำ นวนWarrant ทั้งสิ้น 15,277,778 หุ้น โดย Warrant มีอายุ 2 ปี อัตราการใช้สิทธิ 1 : 1 ทั้งนี้ยังไม่ได้มีการกำหนดรายละเอียดชัดเจนในเรื่องของราคาใช้สิทธิและวันที่เริ่มใช้สิทธิ
ทั้งนี้ L&E ขึ้นเครื่องหมาย XD เพื่อสิทธิในการรับเงินปันผลไปแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (23 มี.ค.) ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วงลงค่อนข้างแรง โดยปิดการซื้อขายที่ 10.70 บาท ลดลง 7.30 บาท หรือ 40.56% มูลค่าการซื้อขาย 3.31 ล้านบาท
บล.ซิกโก้ ระบุว่า จำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้เกิด Dilution Effect ต่อ EPS ของบริษัท40% แต่ในแง่ของผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นแล้วไม่มีผลกระทบใดๆ เนื่องจากเป็นการจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม โดยมองว่าการที่บริษัทจ่ายหุ้นปันผลและออก Warrant นั้นบริษัทไม่ได้ต้องการเงินทุน เนื่องจากบริษัทไม่มีงบลงทุนขนาดใหญ่ขณะที่บริษัทมีเงินสดจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เรามองว่าบริษัทต้องการเพิ่มจำนวนหุ้นหมุนเวียนในตลาด (Free Float) ให้มากขึ้นเพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องของหุ้น
ส่วนผลการดำเนินงานของ L&E ในปีนี้ คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง จากปี 2549 ที่มีกำไรสุทธิ 93 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้าถึง 49% โดยยังคงมีมุมมองในเชิงบวกต่อการเติบโตของบริษัทในปีนี้จากทั้งยอดขายที่คาดว่าจะโตที่11.5% YoY จากงานโครงการที่ยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่บริษัทจะได้รับผลดีจากการใช้โรงงานแห่งใหม่ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ GPM เพิ่มขึ้นจากการลด Outsourcing แล้ว โรงงานแห่งนี้ยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก BOIส่งผลให้คาดว่า Effective Tax Rate จะลดลงจาก FY06A ที่ 25.4% เป็น22.2% ใน FY07E และ 17.5% ใน FY08E เมื่อมีการใช้ประโยชน์เต็มปีภาษีเป็นผลให้คาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิเท่ากับ 114 ลบ. เพิ่มขึ้น 23.1% YoY แต่ในแง่ของ EPS ลดลง 26.2% YoY อันเป็นผลจาก Dilution Effect
อย่างไรก็ตามคงคำแนะนำ ?ซื้อ? โดยผู้ที่มีหุ้นก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD ถือว่าได้รับ Dividend Yield สูงถึง 20.3% ซึ่งเชื่อว่าจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นจะสามารถช่วยลดปัญหาสภาพคล่องของหุ้นได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นเราจึงคงคำแนะนำให้ ?ซื้อ? โดยให้มูลค่าเหมาะสมก่อนและหลังจาก Dilution Effect จากการจ่ายหุ้นปันผลที่ 20.4 และ 12.5 บ. ตามลำดับ (ไม่รวม Dilution จากการออก Warrant)

***PR124-SLC-CMO ติดโผหุ้นผลตอบแทนดี
บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน ให้ความเห็นว่า บริษัท 124 คอมมิวนิเคชั่นส จำกัด(มหาชน) หรือ PR 124 เป็นหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ในระดับสูง จากการที่บริษัทได้หันมาเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าเอกชนมากขึ้นในปีนี้ และส่วนหนึ่งมาจากงานที่มีอยู่ในมือ อีกทั้งการเลือกตั้งครั้งใหญ่ซึ่งถือว่าจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะสนับสนุนกจิกรรมภาครัฐให้เพิ่มขึ้น ขณะที่อัตราหนี้สินต่อทุน(D/E)ยังต่ำเพียง 0.2 เท่า จึงคาดว่าจะส่งผลต่อผลประกอบการดังนั้นจึงมีผลต่ออัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล(Dividend yield)โดยคาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ 13.66%
ล่าสุดราคาหุ้น PR124 ปิดการซื้อขายที่ 5.60 บาท ลดลง 0.10 บาท มูลค่าการซื้อขาย 0.14 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ทรีนิตี้ ระบุว่า บริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์(1998) หรือ SLC คาดว่าปีนี้จะมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 11.51% เนื่องจากมีการเติบโตของกำไรสุทธิและมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจพัฒนาซอฟท์แวร์ระบบสำนักงานอัตโนมัติและซอฟแวร์สำหรับบริหารองค์กร ขณะที่อัตราหนี้สินต่อทุน(D/E)ต่ำเพียง 0.1 เท่าทำให้ฐานะทางการเงินของSLCแข็งแกร่ง
ล่าสุด SLC ปิดที่ 2.76 บาท ลดลง 0.16 บาท หรือ 5.48% มูลค่าการซื้อขาย 0.08 ล้านบาท
บริษัท ซีเอ็ม ออร์กาไนเซอร์ จำกัด(มหาชน) หรือ CMO ยังเป็นอีก 1 บริษัทที่ติดโผหุ้น mai ที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงสุด โดยบริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป ได้ประเมินอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลปีนี้ไว้ที่ 11.02 % เนื่องจากจะมีงานบางส่วนจากปี 2549 ที่รับรู้ปีนี้อีกทั้งได้รุกงานในประเทศกัมพูชา โดยจัดตั้งบริษัทร่วมทุนถือหุ้น 75% เพื่อทำธุรกิจด้านการบริหารการจัดงานแสดงในกัมพูชาแต่อย่างไรก็ตามแนวโน้มงานปีนี้จะชะลอตัวลงโดยเฉพาะจากงานภาครัฐแต่ยังคงมีรายได้จากงานประจำ อาทิ ICT Expoและมอเตอร์โชว์
ล่าสุด CMO ปิดที่ 2.34 บาท ลดลง 0.02 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1.30 ล้านบาท
สำหรับบริษัท ซี.ไอ.กรุ๊ป จำกัด(มหาชน)หรือ CIG บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน จำกัด คาดว่าปีนี้จะมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลถึง 10.5% เพราะคาดว่าบริษัทจะสามารถเพิ่มยอกขายและกำไรสุทธิอย่างก้าวกระโดดในปี 2550 เป็นต้นไปจากการหาลูกค้าซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศจากญี่ปุ่น-เกาหลี ซึ่งต้องการจ้างผลิตคอยล์แทนการผลิตเองมากขึ้น อีกทั้ง CIG ยังมีโอกาสส่งออกเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการขยายกำลังการผลิตในปี 2550
CIG ปิดที่ 2.56 บาท ลดลง 0.24 บาท หรือ 8.57% มูลค่าการซื้อขาย 12.34 ล้านบาท
ขณะที่บริษัท สตีล อินเตอร์เทค จำกัด(มหาชน) หรือ STEEL บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด คาดว่าปีนี้มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 10.4% จากทิศทางธุรกิจยังขยายตัวได้ดีทั้งด้านกำลังการผลิตและสินค้าใหม่ ,อันดับที่ 6 บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ จำกัด(มหาชน)หรือ L&E บริษัทหลักทรัพย์ซิกโก้ จำกัด ได้ประเมินว่าแม้ว่าจะเป็นหุ้นที่มีขนาดเล็กแต่ผลประกอบการยังมีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูงจากการลดต้นทุนและผลประโยชน์ทางภาษี ขณะที่ราคาหุ้นมีความผันผวนน้อยท่ามกลางภาวะตลาดผันผวนคาดปีนี้มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 10.2%
STEEL ปิดที่ 2.92 บาท ลดลง 0.24 บาท หรือ 7.60% มูลค่าการซื้อขาย 1.04 ล้านบาท
นอกจากนี้ ริษัทหลักทรัพย์ แอ๊ดคินซัน จำกัด(มหาชน) ยังได้ประเมินหุ้นบริษัท พลาสติกและหีบห่อไทย จำกัด(มหาชน)หรือ TPAC ว่าปีนี้จะมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 9.60% โดยบริษัทมีฐานลูกค้าที่แน่นอนโดยกระจายไปในกลุ่มต่างๆ ไม่ได้พึ่งลูกค้ารายใดรายหนึ่ง ขณะที่ปีนี้จะได้กำลังการผลิตส่วนเพิ่มของสายการผลิตขวดPET ทำให้รายได้มีการเติบโตเพิ่ม
TAPAC ปิดที่ 1.88 บาท ลดลง 0.28 บาท หรือ 12.96% มูลค่าการซื้อขาย 33.21 ล้านบาท

**วงการโนคอมเม้นท์ S2Y-KASET
ส่วนหุ้นร้อนนำตลาด mai อย่าง S2Y และ KASET ปรากฎว่าไม่มีนักวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ไหนสามารถวิเคราะห์ในส่วนของปัจจัยพื้นฐานได้ เนื่องจากในส่วนของ S2Y กำลังอยู่ในช่วงของการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการถือหุ้นและการทำธุรกิจ หลังจากที่บริษัทนได้ประกาศเพิ่มทุน 446 ล้านหุ้น เพื่อขายให้กับนักลงทุนเฉพาะเจาะจงจำนวน 5 รายราคาหุ้นละ 1 บาท และจะเปลี่ยนโครงสร้างการทำธุรกิจเป็นอสังหาริมทรัพย์ โดยจะมีการทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ที่ 1.50 บาท เท่านั้น แต่ราคาหุ้นกลับวิ่งกระฉูดต่อเนื่องตั้งแต้ฃ่วันที่ประกาศเพิ่มทุน ทั้งที่ทุกอย่างยังไม่มีความแน่นอน เพราะการเพิ่มทุนดังกล่าวต้องขอมติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 9 เมษายน 2550 แต่ต้องไม่มีผู้คัดค้านเกิน 10% ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงที่จะวิเคราะห์หุ้น S2Y เพราะยังไม่สามารถประเมินอนาคตของบริษัทได้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
ล่าสุดหุ้น S2Y ปิดการซื้อขายที่ 4.02 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือ 11.06% มูลค่าการซื้อขาย 157.27 ล้านบาท
ขณะที่หุ้นร้อนอีก 1 ตัวคือ KASET ที่ตามหลัง S2Y มาติดๆ ราคาปรับขึ้นร้อนแรงติดต่อกันหลายวันทำการ ทั้งที่บริษัทฯชี้แจงว่าไม่มีพัฒนาการสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นแต่อย่างใด นอกเหนือไปจากการออกผลิตภัณฑ์วุ้นเส้นและโจ๊กรุ่นใหม่เท่านั้น ซึ่งนักวิเคราะห์หลีกเลี่ยงที่จะให้ความเห็นสำหรับหุ้นตัวนี้เช่นกัน
ล่าสุด KASET ปิดที่ 1.77 บาท ลดลง 0.11 บาท หรือ 5.85% มูลค่าการซื้อขาย 57.27 ล้านบาท

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com