May 15, 2024   11:28:19 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้น
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 02/04/2007 @ 09:29:51
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

คาดว่าจะกำไรในไตรมาส 1/50 เพียง 3.5 พันล้านบาทลดลง 2.4% YoY จากส่วนต่างดอกเบี้ยที่ลดลงและอัตราภาษีที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดีคาดว่าผลประกอบการระหว่างไตรมาสจะสูงขึ้น 2.9% จากค่าใช้จ่ายที่ลดลง กำไรหลักจากการดำเนินงาน (Pre-tax PPOP) ค่อนข้างคงที่ YoY แต่เพิ่มขึ้น 16% QoQ จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลง จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่เร็วเกินคาด เราปรับลดประมาณการส่วนต่างดอกเบี้ยลง 13 bps ในปี 50นอกจากนั้นจากความล่าช้าในการดำเนินโครงการ K-Transformation เราปรับเพิ่มประมาณการค่าใช้จ่ายในปี 2550 และ 2551 ทำให้สัดส่วนต้นทุนต่อรายรับเพิ่มขึ้นเป็น 56.2% และ 54.4% ในปี 2550 และ 2551 ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงประสิทธิภาพของธนาคารจะเข้าสู่จุดสูงสุดในปีนี้ ทำให้กำไรลดลง 10% อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นก็ได้ปรับตัวลดลงรับความกังวลด้านค่าใช้จ่ายดังกล่าวเรียบร้อยแล้วดังจะเห็นได้จาก i) ราคาหุ้น KBANK ที่ไม่ไปไหนตั้งแต่ต้นปี 2549 (ตารางที่ 3) แม้ว่าในปีที่แล้ว KBANK จะสามารถขยายสินเชื่อเฉลี่ยมากกว่าธนาคารอื่นที่ 8.5% เทียบกับ ค่าเฉลี่ย 5.6% รวมถึงมีส่วนต่างดอกเบี้ยสูงกว่า 4% ในปี 2549 เทียบกับค่าเฉลี่ยที่ 3.4%; ii) KBANK มีการซื้อขายในปัจจุบันโดยมีค่า PB อยู่ที่ 1.7x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยหลังวิกฤตที่ 2.03x นอกจากนั้นเราคาดว่าในปี 2551กำไรจากการดำเนินงานของ KBANK จะก้าวกระโดดเพิ่มอีก 19-20% เทียบกับค่าเฉลี่ยของธนาคารอื่นที่ 14%

บล.ซิกโก้แนะนำถือ VNGราคาเป้าหมาย 5.20 บาท
หลังจากที่ราคามีการปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเรามองว่าการปรับขึ้นของราคาดังกล่าวน่าจะสะท้อนถึงผลการดำเนินงานใน FY07E ที่ มีแนวโน้มเติบโต19.0% YoY จากกลังการผลิตแผ่นเอ็มดี เอฟที่ เริ่มผลิตได้อย่างเต็มที่ตั้งแต่ต้นปีนี้ไปบ้างแล้ว บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการ FY06E ที่ 0.25 บาท/หุ้น (DividendPayoutRatio 45.7%) โดยคิดเป็น Dividend Yield ที่ ระดับ 5.2% ซึ่งจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 3 เมษายน 50 และกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวในวันที่ 11พฤษภาคม 50 การขยายกำลังการผลิตแผ่นเอ็มดีเอฟจำนวน 210,000 ลบ.ม./ปี ที่จะเริ่มผลิตได้อย่างเต็มที่ตั้งแต่ต้นปีนี้ ถือเป็นปัจจัยหลักที่จะสนับสนุนผลประกอบการของบริษัทให้เติบโตได้ แม้ว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นก็ตาม เนื่องจากแผ่นเอ็มดีเอฟจะมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าแผ่นปาร์ติเกิ้ลประมาณ 5.0% และความต้องการแผ่นเอ็มดีเอฟยังคงมีอยู่สูงจากตะวันออกกลาง ขณะที่คู่ แข่งที่มีการขยายกำลังการผลิตแผ่นเอ็มดีเอฟในปัจจุบันมีเพียง 1 รายคือ METRO ที่ จะเริ่มผลิตได้ช่วงครึ่งปีหลัง ส่งผลให้เราคาดการณ์ กำไรสุทธิใน FY07E เติบโต 19.0%YoY มาอยู่ที่ระดับ 849 ลบ.

บล.เกียรตินาคินแนะนำซื้อ AHราคาเป้าหมาย 15.50
จากผลการดำเนินงานที่ออกมาน่าผิดหวังในไตรมาส 4/49 รายได้ต่ำกว่าที่เราคาด 11%รวมถึงผู้บริหารคาดการณ์ว่าปี 50 บริษัทจะมีรายได้ประมาณ 8,000ลบ. (เฉพาะผลการดำเนินงาน AH ยังไม่รวม KPN) ทรงตัวจากปี 49 ที่ 7,755 ลบ.จากภาวะอุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 50 ที่คาดว่าจะทรงตัวหรือเติบโตเพียงเล็กน้อยจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและจากผลกระทบของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เราจึงปรับประมาณการรายได้ของ AH ลงจากเดิม 14% เป็น 8,333 ลบ. (เฉพาะผลการดำเนินงาน AH ยังไม่รวม KPN) และเราปรับประมาณการอัตรากำไรขั้นต้นปี 50 (เฉพาะผลการดำเนินงาน AHยังไม่รวม KPN)เป็น 6.85% ลดลงจากเดิมคาด 8.92% เนื่องจากมองว่าแม้บริษัทจะมี Oder สินค้าใหม่ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น และการนำงาน Outsourceกลับมาทำเอง แต่อย่างไรก็ตามบริษัทจะมีค่าเสื่อมราคาจากโรงงานใหม่ที่เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งได้แสดงให้เห็นในไตรมาส 4/49 ที่บริษัทยังคงมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าเราจะมีการปรับประมาณการผลการดำเนินงานและมูลค่าพื้นฐานของAH ลง แต่อย่างไรก็ตามคาดราคาตลาดที่ผ่านมาได้ปรับตัวลดลงสะท้อนกับปัจจัยลบที่กล่าวมาเบื้องต้นแล้ว และลดลงต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานที่เราประเมินใหม่ มีUp-side Gain 16% และเรามองว่าบริษัทอยู่ในช่วงขยายกิจการและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันจึงต้องมีการลงทุนเข้าซื้อกิจการอื่น แม้ในช่วงแรกจะทำให้บริษัทมีต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น แต่ในระยะยาวเราเชื่อว่าจะทำให้บริษัทมีความแข็งกร่งในการแข่งขันและเพิ่มอำนาจในการต่อรองกับลูกค้าได้

บล.กิมเอ็งแนะนำขาย AOTราคาเป้าหมาย 54.00 บาท
เราปรับสมมติฐานโดยคำนึงถึงปัจจัยความเสี่ยงต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 1. ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นหลังเปิดใช้สนามบินดอนเมืองปีละ 2,000 ล้านบาท 2. ค่าซ่อมรันเวย์จำนวน 200-300 ล้านบาท และ 3. หักรายได้ค่าเช่าพื้นที่ส่วนเกินของคิงเพาเวอร์ที่เราเคยรวมไว้ก่อนหน้านี้ราว1 พันล้านบาท คณะกรรมการบริษัทฯมีมติสัญญาคิงเพาเวอร์โมฆะตั้งแต่แรกทั้งดิวตี้ฟรีและร้านค้า เนื่องจากไม่ปฎิบัติตาม พ.ร.บ.ร่วมทุน 35 หลังกฤษฎีกาวินิจฉัยการคำนวณมูลค่าโครงการเกิน 1,000 ล้านบาท ซึ่งต้องรอ ส่งหนังสือหารืออัยการสูงสุดภายในสัปดาห์นี้ คาดว่าเดือนเม.ย.จะเห็นทางออก ตามความเห็นเราเชื่อว่าจะยังมีการให้บริการร้านค้าปลอดภาษีอยู่ จนกว่าปัญหาจะมีทางออกที่ชัดเจน และคาดว่าจะยังไม่กระทบกับการจัดเก็บรายได้ค่าธรรมเนียม หรือหากมีการหยุดการจัดเก็บค่าธรรมเนียม (คิดเป็นประมาณ 25% ของรายได้รวม) ก็คาดว่าจะขอเรียกคืนย้อนหลังได้ เนื่องจาก AOT มีอำนาจในการต่อรองสูงและมีความเป็นไปได้ที่อาจจะได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้น ดังนั้นเราจึงประมาณการรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ของปีนี้ไว้ที่ 5,678 ล้านบาท โดยหักรายได้ที่เคยคาดว่าจะได้จากพื้นที่ส่วนเกินออกจากการปรับสมมติฐานข้างต้นจะได้ประมาณการกำไรปกติปี 2549/50 และ 2550/51 เป็น 558ล้านบาท (0.39 บาท/หุ้น) ลดลง 91% จากปีก่อน และ 3,793 ล้านบาท (2.65 บาท/หุ้น) ตามลำดับ อย่างไรก็ดีปัจจัยเสี่ยงสำคัญอีกประการหนึ่งคือประเด็นปัญหากรณีที่กรมธนารักษ์เปิดหลักเกณฑ์ค่าชดเชยซื้อคืนบ้านซึ่งมีการประเมินราคากันใหม่ที่โดนมลพิษเสียงสุวรรณภูมิ 2.7 หมื่นหลังคาเรือน คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 1.2 แสนล้านบาท เราประเมินมูลค่าเหมาะสมของ AOT โดยใช้วิธีคิดลดกระแสเงินสดปรับอัตราคิดลดเป็น 9.58% จะได้มูลค่าเหมาะสมปรับลดลงเป็น 54 บาท ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายเกินมูลค่าเหมาะสมใหม่ของเราอยู่ 6.9% อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่คาดไม่ถึงอีกมาก

ที่มา ข่าวหุ้น
[/color:c08399f6b1">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com