May 16, 2024   12:45:05 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ภาวะตลาดหุ้น วันนี้
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 04/04/2007 @ 13:30:40
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

--ดัชนี MAI ปิดตลาดช่วงเช้าที่ 198.46 บวก 2.13 จุด (+1.08%)
--ดัชนี SET 50 ปิดช่วงเช้าที่ระดับ 489.05 บวก 6.90 จุด (+1.4...
--ดัชนี SET 100 ปิดช่วงเช้าที่ระดับ 1,061.29 บวก 14.53 จุด (...
--ดัชนี SET ปิดช่วงเช้าที่ระดับ 694.65 บวก 8.12 จุด (+1.18%)

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 04/04/2007 @ 13:32:30 :
[b:38128a6aa5">*NNCL ปันผลปี 49 หุ้นละ 0.15 บ./ ให้ NEP กู้ 40 ลบ. [/b:38128a6aa5">

นายนิพิฐ อรุณวงษ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บมจ. นวนคร (NNCL) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2550 ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น (ซึ่งมีรายชื่อตามสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 11 พฤษภาคม 2550) ในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 160,995,228 บาท และการจัดสรรเงินกำไรเพื่อเป็นทุนสำรองตามกฎหมาย

พร้อมทั้ง มีมติอนุมัติให้เงินกู้ยืมแก่ บมจ. เอ็นอีพี อสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรม (NEP) ผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวน 40,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ระยะเวลา ครบกำหนดชำระวันที่ 24 พฤษภาคม 2550 ชำระดอกเบี้ยเมื่อครบกำหนด โดยคณะกรรมการบริษัทเห็นว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่บริษัทคิดจากผู้ถือใหญ่ในครั้งนี้ สูงกว่าอัตราผลตอบแทนสูงสุดที่บริษัทได้รับจากการฝากเงินไว้กับสถาบันการเงินในปัจจุบันซึ่งเท่ากับร้อยละ 4.00 ต่อปี และไม่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมสูงสุดที่บริษัทได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงินในปัจจุบันซึ่งเท่ากับร้อยละ 7.50 ต่อปี

นอกจากนี้ เงินที่ปล่อยกู้ในครั้งนี้เป็นเงินส่วนเกินที่เหลือจากการดำเนินงานของบริษัท (ณ 31 มกราคม 2550 บริษัทมีเงินสด
และเงินฝากธนาคารทั้งสิ้น จำนวน 169.47 ล้านบาท) ดังนั้น การให้เงินกู้ยืมแก่ผู้ถือหุ้นใหญ่ดังกล่าวจึงมีความสมเหตุสมผลและสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าให้บริษัท
ทั้งนี้ คาดว่า NEP จะนำเงินที่ได้รับจากเงินปันผลของ NNCL มาจ่ายชำระคืน


[b:38128a6aa5">กลุ่มแบงก์บวกต่อ โบรกฯเก็งงบ Q1 ออกมาดี/แรงซื้อต่างชาติหนุน [/b:38128a6aa5">

นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัยหลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า หุ้นกลุ่มแบงก์บวกแรงเช้านี้ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นการคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 1/50 จะออกมาดี เพราะผ่านเรื่องเลวร้ายไปแล้ว

"วันนี้ราคาปรับขึ้นน่าจะเป็นเพราะนักลงทุนต่างชาติซื้อ และผลประกอบการไตรมาส 1 น่าจะ OK ส่วนเรื่องดอกเบี้ยเป็นสิ่งที่รู้อยู่แล้วแต่ก็เป็นการกระตุ้นถ้ารัฐบาลมีการกระตุ้นการลงทุนจริงในช่วงนี้ ก็อาจจะช่วยทำให้เกิดความต้องการสินเชื่อ" นางภรณี กล่าว

แนะนำ KBANK ราคาเป้าหมาย 83.68 บาท KTB ราคาเป้าหมาย 15.27 บาท และ SCB ราคาเป้าหมาย 75.25 บาท

ด้านบทวิเคราะห์ บล.นครหลวงไทย ยังคงแนะนำซื้อลงทุนในธนาคารขนาดใหญ่ที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งมีระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพอย่าง KBANK มูลค่าที่เหมาะสมปี 2550 ที่ 78.17 บาท/หุ้น และ BBL มูลค่าที่เหมาะสมที่ 125.49 บาท/หุ้น

ทั้งนี้ เมื่อเวลา 11.45 น.
KBANK อยู่ที่ 68.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท (+2.24%)
SCB อยู่ที่ 70.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท (+2.17%)
BBL อยู่ที่ 112.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท (+1.82%)
KTB อยู่ที่ 12.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท (+0.83%)


 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#2 วันที่: 04/04/2007 @ 13:33:58 :
[b:64bd7af9fd">*PICNI ยืนไม่ลดทุน-เดินหน้าฟื้นธุรกิจ/สรุปขายหุ้นให้พันธมิตรใหม่ปลายปี [/b:64bd7af9fd">

พ.ต.ท.พงษ์เทพ ลาภวิสุทธิสิน ประธานกรรมการ บมจ.ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น(PICNI) ยืนยันกับผู้ถือหุ้นรายย่อยว่าบริษัทไม่มีแผนลดทุน และจะพยายามจะประคองธุรกิจให้ฟื้นตัวขึ้นมาให้ได้ โดยหวังธุรกิจก๊าซหุงต้ม(LPG)จะทำรายได้หลักและช่วยให้ผลประกอบการในปีนี้ฟื้นตัวดีขึ้น แต่ไม่กล้ารับปากว่าจะลดขาดทุนลงหรือพลิกมีกำไรได้หรือไม่ เพราะยังมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างเข้ามา

ขณะที่คาดว่าการเจรจาขายหุ้นเพิ่มทุนให้พันธมิตรใหม่ 1.48 พันล้านหุ้นจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ ซึ่งบริษัทกำลังเจรจากับนักลงทุนจากต่างประเทศหลายรายที่สนใจเข้าร่วมทุน

"ขอให้มั่นใจว่าการลดทุนไม่ได้อยู่ในความคิดของผม เพราะถ้าลดทุนไปความเสียหายก็จะเกิดขึ้นมากมาย กลุ่มของผมก็เสียหายไปด้วย เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเลือกทางที่จะทำให้ผลตอบแทนได้สูงกว่านี้ แต่ปัจจัยต่าง ๆ ก็มีความเสี่ยงอยู่ คิดว่ายอดขายของเราอย่างไรปีนี้ก็ยังเติบโต"พ.ต.ท.พงษ์เทพ กล่าว

ประธานคณะกรรมการ PICNI กล่าวเรื่องนี้หลังจากที่เลื่อนการประชุมผู้ถือหุ้นในวันนี้ เนื่องจากไม่ครบองค์ประชุม แต่ผู้ถือหุ้นรายย่อยที่เดินทางมารอประชุมขอให้ผู้บริหารรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่าง ๆ โดยเฉพาะความกังวลต่อการปรับตัวลดลงของราคาหุ้น PICNI


[b:64bd7af9fd">ATC พุ่ง 5.98% ผู้บริหารมองมี upside ค่อนข้างเยอะ-มีประเด็นควบรวม RRC [/b:64bd7af9fd">

หุ้น ATC ราคาพุ่งขึ้น 5.98% มาอยู่ที่ 48.75 บาท เพิ่มขึ้น 2.75 บาท มูลค่าซื้อขาย 321.58 ล้านบาท เมื่อเวลา 12.09 น. โดยเปิดตลาดที่ 46.50 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 48.75 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 46.50 บาท

นายเพิ่มศักดิ์ ชีวาวัฒนานนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย)(ATC) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า การที่นักลงทุนให้ความสนใจในหุ้น ATC คาดว่าจะเป็นเพราะเห็นว่าราคาหุ้นได้ undervalue เพราะราคาหุ้น ATC ได้ถูกกดมาหลายปีแล้ว นอกจากนี้ทาง ATC ยังมีการจ่ายเงินปันผลให้ในระดับที่ดีกว่าการฝากเงิน รวมทั้งยังมีประเด็นเรื่องการควบรวมกิจการของ ATC และ RRC ด้วย ซึ่งคาดว่าจะมีการประกาศวิธีการควบรวมกิจการกันได้ในปลายเดือนเมษายน หรือต้นพฤษภาคมนี้

"พูดจริง ๆ หุ้น ATC ทุกวันนี้ นักวิเคราะห์ฯจากหลายเจ้าก็จะมอง undervalue เพราะราคาหุ้น ATC ยังถูก หลังจากถูกกดมาหลายปีแล้ว ซึ่งบางโบรกฯได้ให้ราคาเหมาะสมกว่า 50 บาทด้วยซ้ำไป และถ้าดู Divident ที่ทาง ATC จ่ายให้ก็จะเห็นได้ว่าดีกว่าเงินฝากด้วย ก็ทำให้น่าลงทุน โดยเฉพาะมูลค่าหุ้นยังไม่ได้รวมมูลค่าของโรงงานแห่งที่ 2 มาใส่ไว้ให้ด้วย วันนี้ถ้าใครมาลงทุนก็บอกว่ามีโอกาสในส่วนของ upside ค่อนข้างเยอะ และอีกปัจจัยหนึ่งยังเป็นเรื่องของการควบรวมกิจการของ ATC และ RRC ที่คาดว่าจะมีการประกาศวิธีการควบรวมกิจการในปลายเดือนเมษายน หรือต้นเดือนพฤษภาคม"นายเพิ่มศักดิ์ กล่าว

ด้านบทวิเคราะห์ บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) ระบุว่า ราคาหุ้น ATC ยังถูกอยู่เมื่อเปรียบเทียบกับสเปรดเบนซีนและพาราไซลีนที่ยังยืนสูงได้ในปัจจุบัน และการเติบโตของปริมาณการผลิตซึ่ง ATC สามารถรักษาระดับมาได้อย่างต่อเนื่องและคาดว่าจะทำได้อีกจนถึงปี 51

เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างราคาหุ้น ATC กับสเปรดเบนซีนและพาราไซลีน พบว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เนื่องจากสเปรดดังกล่าวมีผลต่อกำไรของ ATC ดังนั้นจากสเปรดฯที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาในปัจจุบันน่าจะทำให้ราคาหุ้น ATC มี upside ได้อีกอย่างน้อย 10%

นอกจากนี้แล้ว การเติบโตของปริมาณการผลิตของ ATC จะช่วยหนุนราคาหุ้นของ ATC ให้สูงขึ้นได้อีก (เมื่อเทียบ ณ ระดับสเปรดฯ เดียวกัน) เรายังคงแนะนำซื้อ ATC ที่ราคาเป้าหมาย 57 บาท



[/color:64bd7af9fd">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#3 วันที่: 04/04/2007 @ 13:35:12 :
[b:4673794910">*ธปท.กำหนดให้สถาบันการเงินหยุดสงกรานต์ไว้ 4 วันเช่นเดิม [/b:4673794910">

ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศให้วันศุกร์ที่ 13 ถึงวันจันทร์ที่ 16 เมษายน 2550 เป็นวันหยุดทำการของสถาบันการเงิน ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ต่อเนื่อง 4 วัน

โดยวันอังคารที่ 17 เมษายน 2550 สถาบันการเงินเปิดดำเนินการตามปกติ เนื่องจากหากกำหนดให้วันอังคารที่ 17 เมษายน 2550 เป็นวันหยุดทำการของสถาบันการเงินเพิ่มเติมอีก 1 วัน จะทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องนานถึง 5 วัน ซึ่งประชาชนและภาคธุรกิจต่างๆ อาจได้รับความเดือดร้อนจากการไม่ได้รับบริการทางการเงินที่เพียงพอ ประกอบกับธุรกิจโดยทั่วไปอาจจะได้รับผลเสียหายได้ โดยเฉพาะธุรกรรมการชำระเงินระหว่างประเทศที่ได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้า

เมื่อวานนี้(3 เม.ย.) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติให้หยุดราชการชดเชยอีก 1 วัน ในวันที่ 17 เมษายน 2550 เนื่องจากเห็นว่าวันหยุดเดิมที่กำหนดไว้ 13-16 เมษายน 2550 ตรงกับช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์


 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#4 วันที่: 04/04/2007 @ 13:38:32 :
HEMRAJ : คาดกำไรปกติไตรมาส 1/50 ทรงตัว - ซื้อ

สัมภาษณ์ผู้บริหาร

ผู้บริหารบริษัทเปิดเผยยอดขายที่ดิน ไตรมาส 1/50 เท่ากับ 125 ไร่ ลดลง 71% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/49 แต่อยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าหลายราย คาดว่าอาจตกลงเซ็นสัญญาได้400 - 500 ไร่ ในไตรมาส 2/50 โดยบริษัทวางเป้าหมายยอดขายที่ดินทั้งปีไว้ที่ 750 ไร่ (ไม่รวมบริษัทในเครือ) เพิ่มขึ้น 12% จากปี 49

ความเห็นนักวิเคราะห์

คาดกำไรปกติไตรมาส 1/50 ทรงตัว
แม้ยอดขายทิ่ดินในนิคมฯ จะซบเซา แต่เราคาดว่า รายได้ในไตรมาส 1/50 จะเติบโตถึง 20% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/49 เพราะทยอยรับรู้ Backlog บางส่วน ซึ่งสูงถึง 730 ล้านบาท เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา และยังรับรู้รายได้ The Park ตามความคืบหน้าการก่อสร้าง (ประมาณ 75% ตอนสิ้นไตรมาส 1/50 จากสิ้นปี 62%)
แต่คาดกำไรปกติไตรมาส 1/50 จะเพิ่มขึ้นเพียง 2% เป็น 334 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา เพราะอัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 48% เป็น 42.6% เนื่องจากยอดขายที่ดินส่วนใหญ่มาจากนิคมฯ อื่น ๆ ซึ่งให้มาร์จิ้นต่ำกว่านิคมฯ มาบตาพุด ซึ่งเป็นยอดขายหลักในไตรมาส 4/49 หากเทียบกับไตรมาส 1/49 กำไรปกติทรงตัว เพราะไตรมาส 1/50 มีปันผลพิเศษจากบริษัทในเครือ และหากพิจารณากำไรสุทธิรวมรายการพิเศษ กำไรไตรมาส 1/50 จะลดลง 12% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนเพราะไม่มีการกลับสำรองการด้อยค่าทรัพย์สิน และลดลง 20% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/49 เพราะไม่มีกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้

คาดปี 50 ยังเติบโต 5% จากแรงหนุนของ The Park และ Backloc แต่จะลดลงในปี 51
ความไม่แน่นอนทางการเมือง รวมถึงปัญหามลพิษที่มาบตาพุด ทำให้เราตั้งสมมติฐานยอดขายที่ดินในปี 50 ไว้เพียงแค่ 600 ไร่ ต่ำกว่าคาดการณ์บริษัท 20% แต่กำไรปกติยังเติบโตได้ 5% เป็น 1,105 ล้านบาท โดยได้แรงหนุนจาก The Park ที่กำหนดส่งมอบกลางปีนี้ และการรับรู้ Backlog ยอดขายที่ดิน 730 ล้านบาท แต่กำไรจะลดลง 36% ในปี 51 เป็น 702 ล้านบาท เพราะรายได้จากคอนโดมิเนียมลดลงและยังไม่มีการพัฒนาโครงการใหม่

มีแผนขยายการลงทุนจำนวนมาก แต่ยังไม่มีข้อสรุป
บริษัทมีแผนเข้าร่วมประมูล IPP ร่วมกับ GLOW ผ่านบริษัทร่วมทุน Glow Hemraj Energy Co., Ltd. (HEMRAJ ถือหุ้น 50%) และอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการทำโรงไฟฟ้าขนาด 150 เมกกะวัตต์ในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทอร์นซีบอร์ด หรือเหมราชอีสเทอร์นซีบอร์ด นอกจากนี้ มีแผนจะพัฒนาโครงการที่พักอาศัยขนาดเล็ก 1-2 โครงการในปีนี้ แต่ยังไม่มีข้อสรุปในขณะนี้

แต่ระยะยาวมีโอกาสเติบโตจากการขยายการลงทุนเพิ่มในอนาคต ยังแนะนำซื้อ
แม้ปี 51 บริษัทจะแนวโน้มกำไรลดลง แต่ฐานะการเงินที่แข็งแกร่งมากด้วย Net Gearing เพียง 0.3 เท่า และจะลดลงอีก หลังการโอน The Park ช่วงกลางปี ทำให้บริษัทมีเม็ดเงินจำนวนมาก มีโอกาสขยายการลงทุนเพิ่มซึ่งจะสร้างการเติบโตในระยะยาว ยังแนะนำซื้อ โดยคงราคาตามปัจจัยพื้นฐาน 1.06 บาท (DCF ที่ WACC 14.6%)

[/color:325df838fb">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#5 วันที่: 04/04/2007 @ 13:39:30 :
[b:0007d2aadf">ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดเช้าบวก 8.12 จุด ต่างชาติซื้อมาร์เก็ตแคปใหญ่ คลายกังวลน้ำมันเริ่มลง [/b:0007d2aadf">

SET ช่วงเช้าปิดที่ระดับ 694.65 จุด เพิ่มขึ้น 8.12 จุด (+1.18%) มูลค่าการซื้อขาย 8,301 ล้านบาท ตลาดหุ้นปรับขึ้นต่อเนื่อง ปัจจัยการเมืองเริ่มดีขึ้น ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง ต่างชาติเข้ามาไล่ซื้อหุ้นมาร์เก็ตแคปใหญ่ในกลุ่มแบงก์ ถ่านหิน ไฟฟ้า ปิโตรเคมี รับเหมาฯ หนุนดัชนีทะลุ 692 จุด วอลุ่มสูงขึ้นเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน ช่วงบ่ายถ้าดัชนีเข้าใกล้ 695-700 จุด แนะทยอยขายทำกำไรไปก่อน เพราะจะเป็นช่วงวันหยุดยาว

ตลาดหลักทรัพย์ปิดตลาดช่วงเช้าวันนี้ที่ระดับ 694.65 จุด เพิ่มขึ้น 8.12 จุด(+1.18%) มูลค่าการซื้อขาย 8,301 ล้านบาท

การซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดช่วงเช้า โดยแตะจุดสูงสุดของช่วงเช้าที่ 694.65 จุด และแตะจุดต่ำสุดของช่วงเช้าที่ระดับ 690.34 จุด

นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นเช้านี้ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยเรื่องทิศทางการเมืองที่เริมดีขึ้นในระดับหนึ่งจากความตึงเครียดที่ผ่านมาทำให้สถานการณ์ต่างๆ เริ่มผ่อนคลายในทางที่ดีขึ้น ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เริ่มปรับตัวลดลงทำให้หลายคนคลายความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและลดแรงกดดันเรื่องประชุมกนง.ในสัปดาห์หน้าคงเป็นไปตามคาดว่าน่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ย 0.50%
อีกส่วนหนึ่งแรงซื้อของต่างชาติที่มีการเข้ามาไล่ซื้อในหุ้นมาร์เก็ตแคปที่เห็นชัดเจนคือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มเกี่ยวข้องกับเรื่องถ่านหิน ไฟฟ้า ปิโตรเคมี และกลุ่มรับเหมาฯ หนุนทำให้ตลาดสามารถที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุแนวต้านเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันที่ระดับ 692 จุดขึ้นมา และวอลุ่มการซื้อขายถือว่ามีการปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน

ในช่วงบ่ายถ้าดูจากแรงซื้อที่เข้ามาต่อเนื่องและอยู่ในช่วงวันหยุดยาวในสัปดาห์หน้าด้วยแม้ว่าตลาดจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อก็อยากแนะนำให้นักลงทุนหาจังหวะในการปรับพอร์ตทำกำไรในระยะสั้นออกไปก่อน โดยเฉพาะบริเวณแถวๆ 695-700 จุด เนื่องจากดัชนีเข้าใกล้เป้าหมายจิตวิทยา และสัปดาห์ก็เป็นช่วงวันหยุดยาวติดต่อกัน ไม่ทราบว่าจะมีตัวแปรอะไรเกิดขึ้นหรือไม่

"มองว่าในช่วงบ่ายถ้าตลาดยังปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อ ก็น่าจะหาจังหวะปรับพอร์ตทำกำไรออกไปก่อน แนวรับ 685 และ 680 จุด" นายวีระชัย กล่าว
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่
BBL มูลค่าการซื้อขาย 533.07 ล้านบาท ปิดที่ 113.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท
SCB มูลค่าการซื้อขาย 429.36 ล้านบาท ปิดที่ 71.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 411.15 ล้านบาท ปิดที่ 68.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท
PTT มูลค่าการซื้อขาย 350.47 ล้านบาท ปิดที่ 210.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท
ATC มูลค่าการซื้อขาย 331.56 ล้านบาท ปิดที่ 48.75 บาท เพิ่มขึ้น 2.75 บาท

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#6 วันที่: 04/04/2007 @ 15:58:30 :
[b:d03da67636">LOXLEY : AOT ยังไม่เลิกสัญญางาน รปภ. บริษัทในเครือ - ซื้อ[/b:d03da67636">

กรรมการ AOT ยังไม่อนุมัติยกเลิกสัญญาว่าจ้างรักษาความปลอดภัยภายในสนามบิน สุวรรณภูมิของบริษัทเอเชีย ซิเคียวริตี้ เมเนจเม้นท์ (ASM) ซึ่ง LOXLEY ถือหุ้น 69% โดยมีเงื่อนไขให้บริษัทปรับปรุงคุณภาพ และคุณสมบัติของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย รวมทั้งควบคุมไม่ให้เกิดเหตุการณ์ร้าย ภายในเวลา 1 เดือน นอกจากนี้ AOT ยังยอมชำระเงินค่าจ้างแก่ ASM เป็นจำนวนเงิน 90 ล้านบาท

ความเห็นนักวิเคราะห์

งานบริการรักษาความปลอดภัยอากาศยานได้มาตรฐาน
ผู้บริหาร LOXLEY เคยเปิดเผยว่า งานรักษาความปลอดภัยภายในสุวรรณภูมิที่ ASM รับผิดชอบนั้น แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ งานบริการรักษาความปลอดภัยอากาศยาน (aviation security) และความปลอดภัยท่าอากาศยาน (airport security) โดยงานส่วนแรกจะเป็นการตรวจค้นผู้โดยสาร และสัมภาระ ซึ่งได้รับการถ่ายทอด know-how การฝึกอบรมพนักงาน และฐานข้อมูลผู้ก่อการร้ายสากล จากบริษัทร่วมทุนคือ ICTS Europe Holdings B.V. ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรักษาความปลอดภัยในสนามบินชั้นนำของโลกหลายแห่ง ขณะเดียวกันผู้บริหารยอมรับว่า ASM มีปัญหาการจัดหาบุคลากรสำหรับงานรักษาความปลอดภัยบริเวณรอบ terminal ซึ่งถือเป็นงานรักษาความปลอดภัยทั่วไป

รายได้ของ ASM คิดเป็นเพียง 3% ของรายได้รวม
การที่ AOT ไม่อนุมัติยกเลิกสัญญาว่าจ้างฯ น่าจะเป็นเพราะมาตรฐานของงานบริการรักษาความปลอดภัยอากาศยาน ซึ่งมีนัยสำคัญมากต่อการให้บริการสนามบิน แต่การปรับปรุงงานรักษาความปลอดภัยให้ได้ตามเงื่อนไข จะส่งผลให้ต้นทุนของบริษัทเพิ่มขึ้น และไม่อาจมีกำไรได้ในปี 50 ตามที่บริษัทคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ดี รายได้จาก ASM ประมาณปีละ 350 ล้านบาท (คำนวณตามสัดส่วนการถือหุ้นของ LOXLEY คิดเป็นเพียง 3% ของรายได้รวมบริษัทเท่านั้น จึงไม่มีนัยต่อประมาณการผลการดำเนินงานของ LOXLEY ที่เราคาดว่าจะพลิกจากขาดทุน 31 ล้านบาทในปี 49 กลับมามีกำไร 32 ล้านบาทในปี 50

ราคาหุ้นซื้อขายต่ำกว่า BV 26%
ปัญหาการยกเลิกสัญญางานรักษาความปลอดภัยสนามบินสุวรรณภูมิ และความล่าช้าของโครงการหวยออนไลน์ ส่งผลให้ราคาหุ้น LOXLEY ปรับตัวลงมาโดยตลอด จนปัจจุบันซื้อขายต่ำกว่า BV ถึงกว่า 26% และยังต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานกรณีไม่รวมโครงการหวยออนไลน์ 1.79 บาท/หุ้น ราว 11% จึงน่าจะรับรู้ความเสี่ยงดังกล่าวไปเรียบร้อยแล้ว เราจึงยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ด้วยมูลค่าพื้นฐาน 2.70 บาท (รวมโครงการหวยออนไลน์)



 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#7 วันที่: 04/04/2007 @ 20:22:43 :
[b:75292f5b2e"> ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดตลาดบวก 7.01 จุด เงินนอกไหลเข้า ต่างชาติซื้อกลุ่มแบงก์[/b:75292f5b2e">นำ

SET ปิดช่วงบ่ายที่ระดับ 693.54 จุด เพิ่มขึ้น 7.01 จุด(+1.02%) มูลค่าการซื้อขาย 17,218 ล้านบาท หุ้นไทยแกว่งขึ้นตามทิศทางตลาดหุ้นเอเชียที่บวก 1% คาดเงินทุนนอกภูมิภาคไหลเข้า ขณะที่ราคาน้ำมันอ่อนตัวลงลดความตึงเครียด ภายในเก็งปัจจัยเดิมลดดอกเบี้ย จะเห็นแรงซื้อเข้ามาในกลุ่มสถาบันการเงินสูงถึง 1ใน 3 แรงซื้อแบงก์ชัดเจนมากเชื่อต่างชาติซื้อสุทธิอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่อสังหาฯ มีแรงเก็งกำไรต่อเนื่อง พรุ่งนี้คาดเผชิญแรงขายทำกำไรชนแนวต้านจิตวิทยาแถว 700 จุด

ตลาดหลักทรัพย์ปิดตลาดช่วงบ่ายวันนี้ที่ระดับ 693.54 จุด เพิ่มขึ้น 7.01 จุด(+1.02%) มูลค่าการซื้อขาย 17,218 ล้านบาท
การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนบวกได้ตลอดวัน โดยขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 695.99 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 690.34 จุด

ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 245 หลักทรัพย์ ลดลง 100 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 109 หลักทรัพย์
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยแกว่งขึ้นตามทิศทางของตลาดหุ้นทั่วเอเชียที่บวก 1% ส่วนหนึ่งคือราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอ่อนตัวลงประมาณ 1 เหรียญสหรัฐ หลังจากอิหร่านและอังกฤษมีทีท่าว่าจะใช้วิธีการทางการทูตในการลดความตึงเครียด นักลงทุนนอกภูมิภาคมีความมั่นใจต่อการเติบโตของเอเชียมากขึ้นทำให้มีเงินนอกภูมิภาคไหลเข้ามาค่อนข้างชัดเจนดันให้ตลาดหุ้นแถบนี้บวกขึ้นไป

"ในส่วนของหุ้นไทยพอตลาดเพื่อนบ้านเริ่มขยับเราก็หยิบข่าวเก่าขึ้นมาเล่นใหม่คือความคาดหวังเรื่องที่จะมีการปรับลดดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมวันที่ 11 เม.ย.นี้ ซึ่งถ้าแบงก์ชาติลดดอกเบี้ย 0.50% จริงเชื่อว่าจะมีผลกระทบทำให้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงมาจะส่งผลต่อเนื่องกับหุ้นที่อ่อนไหวกับดอกเบี้ยยังมีทิศทางที่ขยับขึ้นต่อได้ จะเห็นแรงซื้อเข้ามาในกลุ่มสถาบันการเงินสูงถึง 1 ใน 3 แรงซื้อในกลุ่มแบงก์ชัดเจนมาก เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติน่าจะซื้อสุทธิอย่างมีนัยสำคัญเป็นหลักพันล้านบาทขึ้นไป ขณะที่หุ้นอสังหาริมทรัพย์วันนี้มีการเก็งกำไรต่อเนื่องจากวานนี้" นายพิชัย กล่าว

แนวโน้มพรุ่งนี้คิดว่าจะเริ่มเผชิญกับแรงขายทำกำไรมากขึ้น ชนแนวต้านจิตวิทยาบริเวณ 700 จุด เพราะหุ้นไทยกระชากแรงๆ มา 3 วัน และบวกต่อเนื่อง 5 วันแล้ว ไม่น่าผ่านในการขึ้นทดสอบครั้งแรกแถวแนวต้าน 700 จุด แต่ถ้าต่างชาติยังซื้อหนักๆแบบนี้เป็นไปได้เมื่อทดสอบไม่ผ่านครั้งแรกก็อาจจะมี test ครั้งที่ 2 และ 3 แต่รอบนี้ไม่น่าจะไปไกลเกิน 720 จุด เพราะฉะนั้นเวลาตลาดปรับขึ้นเลย 700 จุดขึ้นไปและวิ่งเข้าหา 720 จุดน่าจะเป็นจังหวะของการทยอยขายทำกำไร

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่
BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,085.67 ล้านบาท ปิดที่ 113.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,017.55 ล้านบาท ปิดที่ 69.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท
PTT มูลค่าการซื้อขาย 841.63 ล้านบาท ปิดที่ 208.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
SCB มูลค่าการซื้อขาย 808.52 ล้านบาท ปิดที่ 71.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท
SCC มูลค่าการซื้อขาย 662.00 ล้านบาท ปิดที่ 246.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท




 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com