May 17, 2024   3:00:26 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้นจิ๋วmaiปันผลพันล้าน
 

???
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 410
วันที่: 09/04/2007 @ 09:10:35
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

หุ้นในตลาดเอ็ม เอ ไอจิ๋วแต่แจ๋ว บจ. 33 แห่งแจกปันผลงวดปี 49 ร่วม 1.18 พันล้านบาท อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยสูง 6.5%

นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) กล่าวว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ กว่า 33 แห่ง จาก บจ.ทั้งหมด 43 แห่ง ประกาศจ่ายปันผลประจำปี 2549 มีมูลค่ารวม 1.18 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% เมื่อเทียบกับปี 2548 ที่ 816 ล้านบาท

หากคิดมูลค่าเงินปันผลรวมเปรียบเทียบกับกำไรสุทธิรวมเฉพาะ 33 บริษัทที่ประกาศจ่ายปันผลมีมูลค่าถึง 2.11 พันล้านบาท โดยเมื่อเทียบเงินปันผลเทียบกับราคาหลักทรัพย์แล้ว คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 6.5% และเป็นการจ่ายปันผลที่สูงกว่าปี 2548

สำหรับ บจ.ที่มีการจ่ายเงินปันผลสูงสุด ได้แก่ บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเม้นท์ (L&E) อัตราผลตอบแทนปันผล 7.89% ณ ราคาก่อนขึ้นเครื่องหมายปิดสมุดทะเบียนให้สิทธิรับเงินปันผล

โดยจ่ายปันผล 2 ครั้งต่อปี บริษัท ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส (UMS) อัตราผลตอบแทนปันผล 8.52% จ่ายปันผล 2 ครั้ง และ บริษัท ยูนิมิต เอ็นจิเนียริ่ง (UEC) อัตราตอบแทน 7.89% นอกจ่ายเงินปันผลแล้วยังมีหุ้นปันผลอีก

อย่างไรก็ตาม จะพบว่าปี 2549 บจ. 9 บริษัท ที่ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลสามารถจูงใจ ให้นักลงทุนหันมาลงทุนหุ้นในระยะยาวมากขึ้น และปัจจุบันยังมีอีก 9 บริษัท ที่ซื้อแล้วยังได้สิทธิรับปันผล ซึ่งหากเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน ณ ปัจจุบันที่อัตราประมาณ 3% แล้วยังถือว่าการลงทุนในตลาดเอ็ม เอ ไอ ยังให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ

 กลับขึ้นบน
พ๊ง
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 410
#1 วันที่: 09/04/2007 @ 09:11:58 :
เดือนมีนาคมหุ้นเล็กครองตลาด

สถานการณ์ตลาดหุ้นเดือนมีนาคมการเคลื่อนไหวของดัชนีส่วนใหญ่ปรับตัวในกรอบแคบๆอย่างชัดเจน เพราะตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ดัชนียืนที่ระดับ 677.13 จุด และมาอยู่ที่ระดับ 673.71 จุด ปลายเดือนมีนาคม ทำให้เห็นได้ชัดว่าภาวะตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาอยู่ในภาวะซบเซาเป็นหลัก ซึ่งเห็นได้จากวอลุ่มซื้อขายที่เข้ามาในแต่ละวันมีเพียง 9,000-10,000 ล้านบาท ต่อวันเท่านั้น

โดยเฉพาะเมื่อสังเกตการซื้อขายหุ้นหุ้นทั้ง 448 ตัว พบว่ามีหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 169 ตัว และมีหุ้นที่ปรับตัวลดลงถึง 254 ตัว ส่วนที่เหลืออีก 25 ตัว เป็นหุ้นที่ราคาไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งในครั้งนี้จะขอนำเสนอเฉพาะหุ้นที่ปรับตัวขึ้นสูงสุด 50 อันดับ

ขณะเดียวกันหากสังเกตหุ้นที่ปรับตัวขึ้นทั้ง 50 ตัว มีหุ้นขนาดใหญ่ เข้ามาติดอยู่ในกลุ่มนี้เพียง 3 ตัวเท่านั้น นั้นแสดงให้เห็นว่านักลงทุนที่เข้ามาลงทุนยังวิตกกังวล กับสถานการณ์ทางการเมือง และความไม่ชัดเจนทางนโยบายทางเศรษฐกิจ ซึ่งบรรยากาศการลงทุนทุนเช่นนี้แสดงให้เห็นเลยว่า นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นเพียงการเล่นสั้นๆ มากกว่าที่จะเข้ามาลงทุนระยะยาว

ผลกระทบดังกล่าวทำให้หุ้นขนาดเล็กยังได้รับความนิยมเช่นเคย ซึ่งเห็นได้จากการปรับตัวของหุ้นทั้ง 50 ตัว จะเป็นหุ้นขนาดเล็กและตามมาด้วยหุ้นเก็งกำไร ยังมีแรงซื้อเข้ามาอย่างหนาแน่น

โดยเฉพาหุ้น IHL หรือ บริษัท อินเตอร์ไฮด์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือเป็นหุ้นขนาดเล็กและง่ายต่อการไล่ราคา ทำให้นักลงทุนรายใหญ่เข้ามาปั่นราคากันอย่างสนุกมือ ส่งผลให้ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 30.00 บาท (มี.ค.) จากเดิม 20.30 บาท(ก.พ.)หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น47.78%

ซึ่งเป็นผลมาจากนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรตามข่าว ที่โบรกเกอร์ออกมาคาดการรายได้ของ IHLปีนี้ว่าจะโตกว่า 33% และคาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้นกว่า 50% หลังจากที่ได้เปิดตัวโรงงานใหม่หนุนกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว บวกกับข่าวที่ว่าบริษัทจะมีการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้น ทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรหุ้นรายนี้อย่างหนาแน่น

ล่าสุดราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นแรงต่อเนื่อง หลังมีข่าวว่าบริษัทกำลังเจรจากับค่ายผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา เพื่อผลิตเบาะหนังป้อนให้กับค่ายรถยนต์ดังกล่าว คาดว่าจะเริ่มส่งออกเบาะดังกล่าวได้ประมาณไตรมาส 2 ของปีนี้ นอกจากนี้กำลังเจรจากับพาร์เนอร์ในสหรัฐฯ เพื่อผลิตชุดอุปกรณ์ตกแต่งภายในรถยนต์คาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้

ส่วนผลประกอบการปี 49 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขาย 927 ล้านบาท ลดลง 7%จาก 996 ล้านบาทในปี 48 และมีกำไรสุทธิ 81 ล้านบาท ลดลงจากปี 48 ที่มีกำไรสุทธิ120 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรมรถยนต์ชะลอตัว และราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตามแม้หุ้นรายนี้จะปรับตัวขึ้นแรง แต่อย่าลืมว่าราคาหุ้นขณะนี้ได้ปรับตัวเกินพื้นฐานของหุ้นอย่างมาก ซึ่งเห็นได้จากมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นอยู่ที่ 10.08 บาท เท่านั้น ดังนั้นการเข้าลงทุนหุ้นรายนี้อาจต้องใช้ความระมัดระวังให้มาก

ด้าน UCOM หรือ บริษัท ยูไนเต็ดคอมมูนิเกชั่น อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวแรงเป็นอันดับ 2 โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 33.66 % มาที่ระดับ 53.00 บาทจากเดิมอยู่ที่ 38.50 บาท ซึ่งเป็นผลมาจากนักลงทุนเข้ามาเล่นหุ้น หลังบริษัท โทเทิลแอ็ดเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือ ดีแทค(TAC) ประกาศใช้สูตรแลกหุ้น 1 หุ้น UCOM ต่อ 1.95หุ้นดีแทค และได้มีการตีราคาหุ้นยูคอมอยู่ที่ประมาณ 56.00 บาท จึงเป็นผลทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรกันอย่างคึกคัก

ส่วนราคาหุ้นคาดว่าระยะนี้ไม่น่าจะปรับตัวขึ้นแรงอีก เพราะจาการประเมินมูลค่าหุ้นของ UCOM โดยเทียบสัดส่วนการแลกหุ้นกับแทค โดยอิงกับราคาในตลาดสิงคโปร์ ซึ่งโบรกเกอร์ได้ประเมินมูลค่าหุ้น UCOM เอาไว้อยู่ระหว่าง 50-55 บาท ขณะเดียวกันราคาหุ้นUCOM เวลานี้ได้ปรับตัวขึ้นมามาก รวมทั้งราคาหุ้นก็เข้าใกล้มูลค่าเหมาะสมแล้ว จึงคาดว่าหุ้นรายนี้ไม่น่าจะปรับตัวขึ้นไปอีก เพราะคาดว่านักลงทุนก็คงจะถือหุ้นเอาไว้เพื่อรอให้ถึงวันที่ UCOM เพิกถอนออกจากตลาดซึ่งจะเกิดขึ้นในครึ่งปีหลัง 2550

อันดับ 3 TBANK หรือ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาที่12.30 บาท จากเดิมที่ 9.00 บาท คิดเป็น 23.67% สาเหตุราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงเนื่องจาก TBANKบรรลุข้อตกลงในการขายหุ้นให้กับธนาคารแห่งโนวาสโกเทีย หรือScotiabank ในสัดส่วน 24.99% มูลค่ารวม 7.1 พันล้านบาท โดย Scotiabank จะเข้าซื้อหุ้น TBANK จากบริษัททุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่99.36% ในจำนวน 157,130,216 ล้านหุ้น รวมทั้ง TBANKจะออกหุ้นเพิ่มทุนใหม่อีก 276,263,200 หุ้นเพื่อขายให้กับ Scotiabank โดยราคาที่ซื้อเฉลี่ยอยู่ที่หุ้นละ 16.37 บาท

นอกจากนี้ภายใต้ข้อตกลงฉบับนี้ยังเปิดโอกาสให้ Scotiabank สามารถซื้อหุ้น TBANKในราคาเดิมเพิ่มเป็น 49% ซึ่งคาดว่าภายในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2550 หากกฎหมายอนุญาต ดำเนินการได้ ทั้งนี้ทาง TCAP จะทำคำเสนอซื้อ หรือเทนเดอร์ออฟเฟอร์หุ้น TBANK ในราคาเดียบกับที่ขายให้ Scotiabank ที่ 16.37บาท จากนั้นจะถอน TBANK ออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน ทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรเรื่องนี้กันอย่างหนาแน่น

อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ยังไม่ชัดเจน เนื่องจากทาง Scotiabank ยังไม่ได้ยืนหนังสือขอซื้อหุ้นของธนาคารธนชาตให้กับธปท.แต่อย่างใด เนื่องจากหลักการในการพิจารณาว่าจะสามารถให้ถือหุ้นได้ในสัดส่วน 24.99% และเพิ่มมาเป็น 49% ได้ในอนาคตหรือไม่ ขึ้นอยู่กับแผนแลเหตุผลที่สโกเทียแบงก์เสนมอมายังธปท.ให้พิจารณาเป็นสำคัญ

อันดับ 4 GOLD หรือ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวแรงที่ระดับ 8.25 บาท จากเดิม 6.20 บาท หรือราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 33.06% สาเหตุที่หุ้นปรับตัวแรงคาดเป็นผลมาจากผลประกอบการปี 2549 มีกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 271,133 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 302.51 ล้านบาทเป็นหลัก

ปิดท้ายด้วยอันดับ 5 SYRUS หรือ บริษัทหลักทรัพย์ ไซรัส จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวแรงที่ระดับ 3.36 บาท จากเดิม 2.82 บาท หรือราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้น 19.15%สำหรับการปรับตัวแรงของหุ้นรายนี้ไม่น่าจะมีนัยสำคัญอะไร นอกไปจาการเข้ามาเก็งกำไรหลังราคาหุ้นได้ปรับตัวลงมามาก

โดยเฉพาะเมื่อสำรวจผลการดำเนินงานปี 2549 ที่ผ่านมา SYRUS ยังประสบผลขาดทุนเป็น 8.10 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปี 2548 มีกำไรสุทธิ 41.73 ล้านบาท เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าเวลานี้หุ้นนายหน้าค้าหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ประสบผลขาดทุนจากรายได้นายหน้าค่าหลักทรัพย์ลดลงหลังภาวะตลาดไม่เป็นเป็นใจ ส่งผลให้ขณะนี้มีกระแสการควบรวมกิจการของบริษัทหลักทรัพย์ออกมาเป็นระยะ เพื่อที่จะพยุงให้กิจการอยู่รอดนั้นเอง
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com