May 17, 2024   3:56:26 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > เจาะกระดานหุ้น : wait & see
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 10/04/2007 @ 09:08:57
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

*วอลุ่มการซื้อขายที่ซบเซาในรอบ 2 เดือน บอกเป็นนัยว่า ถึงเวลา wait & seeเพราะสัปดาห์นี้จะมีวันหยุดยาวติดต่อกันหลายวัน ซึ่งนักลงทุนกลุ่มต่างๆ ไม่นิยมเก็บหุ้นติดพอร์ตข้ามสัปดาห์ จึงส่งผลให้บรรยากาศของตลาดหุ้นไม่เอื้อต่อการลงทุนเป็นอย่างมากนะจะบอกให้

*แถมช่วงนี้หุ้นแกนหลักของตลาดฯผ่านพ้นช่วงขึ้นเครื่องหมาย XD กันหมดแล้ว ก็เลยทำให้ตลาดหุ้นขาดภูมิคุ้มกันชั่วคราว และมีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงเรื่อยๆ หลังสถานการณ์ทางการเมืองอึมครึมทุกขณะ...ทั้งที่ก่อนหน้าอะไรหลายอย่างเป็นใจให้ดัชนีไต่ระดับขึ้นไปทดสอบแนวต้าน 700 จุดแท้ๆ

*ด้วยเหตุนี้กระมั่งถึงทำให้นักลงทุนไม่ค่อยสนใจภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นจะเป็นเช่นไร เพราะขืนนั่งเฝ้า นอนเฝ้า หน้าจอ ก็คงไม่อะไรดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เผลอๆ อาจสร้างความหนักใจให้เป็นเท่าตัว หากทะเล่อทะล่าเข้าไปซื้อหุ้นจังหวะนี้เจ้าค่ะ

*ยิ่งช่วงนี้มีข่าว นายกฯ เตรียมลาออกจากตำแหน่งเป็นระรอก ยิ่งเป็นแรงกดดันสำคัญที่ทำให้ดัชนีไม่สามารถผงกหัวขึ้นได้สักที และน่าจะเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ตลอดทั้งสัปดาห์นะจะบอกให้ อิอิอิอิ

**ข่าวการควบรวมของธุรกิจโบรกเกอร์ในช่วงนี้ เริ่มมีเพิ่มมากขึ้น และมีแนวโน้มว่าจะเป็นจริงตามข่าวลือซะด้วย โดยเฉพาะในเคสของ KEST กับ SSEC ที่ผู้บริหารก็ออกมาแบ่งรับ แบ่งสู้ว่ากำลังอยู่ในช่วงศึกษาและหาแนวทางที่ลงตัวกันอยู่ เพื่อรองรับสถานะการแข่งขันเปิดเสรีที่จะมีขึ้นในปี 2550 แสดงให้เห็นว่าข่าวลือดังกล่าวเป็นจริงใช่ไหมเนี้ยะ

*ถ้าไม่เช่นนั้นราคาหุ้น SSECในช่วงที่ผ่านมา คงไม่วิ่งกระฉูดขนาดนี้หรอกคะเดี๊ยนมองว่าดีนะคะ ที่จะมีการจับมือควบรวม เพื่อหนีตายกัน แต่เมื่อมองในความเป็นจริงที่รู้มากลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะการควบรวมของโบรกเกอร์ กับโบรกเกอร์ที่ไม่มีแบงก์ซัพพอร์ต อาจไม่ได้ดีอย่างที่คิดนะจ๊ะ

*เพราะการควบรวมกัน โดยไม่ได้มีการปลดผู้บริหารออกนั้น บอกได้คำเดียว่าไม่สามารถลดต้นทุนได้เลย และยังไม่นับรวมพนักงาน(มาร์เก็ตติ้ง)ทั้งหลาย งานนี้บรรดามาร์เก็ตติ้งทั้งหลายคงต้องเตรียมซ้อมเตะฝุ่นได้เลยคะ ดูวอลุ่มแบบนี้แล้ว มีแต่ทรงกับทรุดเจ้าคะ แต่งานนี้เดี๊ยนไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมี คำว่า "รีเบล"เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย วานซีอีโอใหญ่ช่วยตอบด้วยเถอะคะ ราคาหุ้น KEST ปิดที่ 16.70 บาท ลบไป 0.20 บาท ส่วนSSEC ปิดที่ 1.39 บาท ลบไป 0.06 บาท

*ด้าน ZMICO กับ SYRUS นี่ก็เป็นอีกคู่เหมือนกัน ที่มีข่าวลือออกมาก่อนใคร และมีมานานแล้ว ซึ่งภาพที่ประเมินออกมาหลังควบรวมแล้ว ก็แย่เหมือนกัน เน้นจากจุดเด่นของZMICO อยู่ที่รายย่อย ในขณะที่ SYRUS นั้นหาความโดดเด่นไม่ได้เลย

*ต้องบอกว่า SYRUS เป็นโบรกฯที่ไม่มีจุดเด่นอะไร รีเสริซ์ก็ไม่แข็ง ฐานผู้ลงทุนก็อาศัยรายย่อย (ที่มีไม่มาก) ส่วนด้านวานิชธนกิจก็ไม่เด่น เพราะที่ผ่านมาก็ไม่มีงานให้ทำและยิ่งมาดูผลประกอบการปี 2549 ก็ขาดทุนอีก ไม่ว่าจะมองจากด้านไหนก็ยังหาข้อดีไม่ได้เลยคะ จะมีดีก็แค่กระแสเงินสดที่มีอยู่เท่านั้นเอง

*การที่ ZMICO จะเข้าไปเทก SYRUS เดี๊ยนยังมองไม่เห็นว่า 1+1จะเท่ากับ 2หรือ 3 ได้อย่างไร เพราะตราบใดที่ยังไม่มีสถาบันการเงินเข้ามาเอื้อ ยิ่งทำให้เห็นชัดว่าจากนี้ไปธุรกิจโบรกเกอร์ยิ่งทำลำบากมากขึ้น การจะหันไปขยายฐานธุรกิจด้านอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ ก็คงต้องใช้เวลาพอสมควร ซึ่งภายในระยะ 1-2 ปีนี้ ZMICOคงยังไม่ได้รับประโยชน์จากการควบรวมกันอย่างแน่นอน

*ขอเปลี่ยนมาที่หุ้น TRAF บ้าง ล่าสุดก็มีชื่อของผู้ถือหุ้นกลุ่มใหม่ ปรากฏมาแล้วมีชื่อของน.ส. สุภัทรา ไพบูลย์ภาณุพงศ์ เข้ามาถือหุ้น 13.62 % กับ นาย วิรัตน์ อุดมสินวัฒนา ก็เข้ามาถือหุ้นใหญ่ รวมเป็น 5.79 % เห็นชื่อที่เป็นโนเนมแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไปเพราะดูจากสภาพของบริษัทแห่งนี้ คงมีดีแค่การเป็นบริษัทจดทะเบียนเท่านั้น ส่วนเรื่องธุรกิจไม่ต้องพูดถึงคะ ราคาหุ้นปิดที่

*หลายวันก่อนที่ "โมนิก้า"เขียนถึง ปัทมา เจียจวบศิลป์ "ศรีภรรยา" ของสมศักดิ์ ลีสวัสดิ์ตระกูล ผู้ถือหุ้นใหญ่ GSTEEL ที่เข้ามาเก็บหุ้นบริษัทเพราะเหตุผลของความทนไม่ได้ที่เห็นหุ้น มีราคาต่ำกว่าบุ๊ค พอหลังจากนั้นก็มีนักลงทุนโทรเข้ามาถามว่า "มีท่าทีว่าจะเก็บต่ออีกหรือไม่" ซึ่งผลก็ปรากฏออกมาให้เห็นแล้วละคะ

*ของแบบนี้ถ้าพูดก่อน จะหาว่าโม้ แต่การที่ เจ๊ปัทมา เข้าไปซื้อหุ้น GSTEELมากถึง 80 ล้านหุ้น คงยังไม่จบแค่นี้คะ ตราบใดที่ราคาหุ้นยังต่ำกว่า 0.95บาท ก็อย่างที่"โมนิก้า"เคยบอกไว้แล้ว ว่าขนาดเจ้าของยังทนไม่ได้ แล้วรายย่อยที่ยังไม่มีหุ้นจะทนไว้หรือคะ โอกาสดีๆ ของถูกๆ แบบนี้ ไม่ได้มีบ่อยๆนะคะ ราคาหุ้น ปิดที่ 0.89 บาท เสมอตัว

*การเข้ามาซื้อหุ้น EVER ของผู้บริหารของ สวิจักร์ โลจายะ จำนวน 1.5แสนหุ้น ที่ราคา 1.50 บาท คงบอกอะไรได้หลายอย่างนะคะ ซึ่งสภาพแบบนี้ คงเชื่อมั่นได้เล็กๆ ว่ากลุ่มโลจายะ ต้องใช้สิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนอย่างเต็มกำลังแน่นอนคะ และหลังจากที่ใช้สิทธิไปแล้ว สถานภาพความเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ก็จะกลับมาโดยทันที และเมื่อถึงเวลานั้นราคาหุ้นก็จะวิ่งอีกรอบ พร้อมกับข่าวการขยายโครงการของบริษัทคะ ราคาหุ้นปิดที่ 1.53 บาท บวกไป0.10บาท

*ด้าน POWER รายนี้ก็อาการไม่แพ้กัน ล่าสุด ประณัย สัตยวณิช ก็ลาออก โดยมีสุรชัย อรุณบุตร เข้ามาควบตำแหน่งประธานกรรมการบริหารและซีอีโอแทน การลาออกของผู้บริหารใหม่ โดยมีผู้บริหารใหม่กว่าเข้ามาแทนแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะมีข่าวอะไรตามมาอีกหรือเปล่าคะเนี้ยะ




 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com