May 17, 2024   6:06:59 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้นวัสดุก่อสร้าง
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 12/04/2007 @ 12:52:52
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

เมื่อวานนี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือกนง. ก็ได้มีมติลดอัตราดอกเบี้ย RP 1 วัน ลง 0.50% เหลือ 4.00% จาก 4.50% ตามที่ตลาดได้คาดหมายเอาไว้ ซึ่งจะส่งผลบวกในระยะสั้นกับหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แต่เนื่องจากราคาหุ้นอสังหาริมทรัพย์หลาย ๆ ได้ขึ้นมารอรับข่าวกันหมดแล้ว แต่ก็มีหุ้นที่น่าสนใจอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งได้รับประโยชน์ทางอ้อมจากการลดอัตราดอกเบี้ยลง หุ้นกลุ่มนั้นก็คือ หุ้นในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ส่วนหุ้นที่ผมจะเอาข้อมูลมาให้อ่านกันก็คือหุ้น SSI และ VNG

SSI เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผู้บริหารก็ได้ออกมาคาดการณ์ ยอดขายและปริมาณผลิตในปี?50 ว่าจะเติบโต ประมาณ 20% จาก 35,000 ล้านบาท เมื่อปี?49 เนื่องจากปริมาณและราคาขายเพิ่มขึ้น โดยคาดราคาเหล็ก (HRC) ในปี?50 สูงกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 500 USD/ตัน ขณะที่ใน Q1/50 ราคา HRC เฉลี่ย 500 ? 550 USD/ตัน สูงกว่า 400 ? 450 USD/ตัน เมื่อ Q1/49 และคาดแนวโน้มราคาเหล็กใน Q2/50 สูงกว่า Q1/50 เนื่องจากความต้องการใช้เหล็กในโลกยังมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง ทั้งสหรัฐอเมริกา ตะวันออกกลาง ยุโรปตะวันออก อเมริกาใต้ และจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภครายใหญ่ของโลก
ราคาเฉลี่ย SLAB และ HRC รายไตรมาส

ที่มา : SSI
ซึ่ง BTSEC ก็ได้คาดการณ์ว่า ในปี?50 SSI มีเป้าหมายเพิ่มปริมาณขายจาก 1.7 ล้านตัน เป็นประมาณ 2.0 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 18% โดยคาดสัดส่วนส่งออกเป็น 30% และสินค้า Premium Grade เป็น 55% เพิ่มจาก 23% และ 53% ตามลำดับ คาดการเพิ่มสัดส่วนการส่งออก จะช่วย SSI ลดความผันผวนจากความต้องการในประเทศที่คาดว่ายังชะลอตัว ซึ่งทำให้แนวโน้มราคาในประเทศไม่สามารถเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับราคาในตลาดโลก โดยปัจจุบันราคาส่งออกเหล็กแผ่นสูงกว่าราคาในประเทศ ประมาณ 10 ? 15%

ขณะที่ SSI มีแผนเข้าลงทุนใน บริษัท เหล็กแผ่นรีดเย็นไทย จำกัด (TCRSS) มูลค่าเงินลงทุน ประมาณ 3,500 ล้านบาท โดยเข้าซื้อหุ้นจากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม ได้แก่ เจ เอฟ อี สตีล คอร์ปอเรชั่น และ มารูเบนิ คอร์ปอเรชั่น สัดส่วน ประมาณ 40.14% ซึ่งจะส่งผลดีต่อ SSI ทำให้เป็นผู้ผลิตเหล็กครบวงจรทั้งเหล็กรีดร้อนและเหล็กรีดเย็น รวมถึงเพิ่มศักยภาพการแข่งขันโดยเฉพาะตลาด Premium เนื่องจาก TCRSS เป็นผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดเย็น (Cold Roll) รายแรกและรายใหญ่ของประเทศ มีกำลังการผลิต ประมาณ 1.2 ล้านตัน/ปี และผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ บรรจุภัณฑ์และภาชนะ เป็นต้น คาดการเข้าถือหุ้นดังกล่าวช่วยสนับสนุนการเพิ่มสัดส่วนสินค้า Premium Grade และช่วยลดความผันผวนราคาเหล็กได้บ้าง

คาดรายได้ขายปี?50 อยู่ที่ 42,222 ล้านบาท และคาด Gross Profit Margin เฉลี่ย 10% ดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา ภายใต้สมมติฐานไม่มีการสำรองเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือ คาดกำไรสุทธิ 1,947 ล้านบาท ลดลง 15% เนื่องจากไม่มี Write back สำรองเหมือนปีที่ผ่านมา หรือ 0.15 บาท/หุ้น โดยมีราคาเป้าหมายปี?50 ที่ 1.20 บาท ระดับ P/E เดิม 8 เท่า และ ณ ราคาปัจจุบัน 1.05 บาท (10/4/50) มี Upside Gain ประมาณ 15%

VNG ปีนี้น่าจะเป็นปีทองของ VNG เนื่องจาก...

1. ได้รับผลดีจากกำลังการผลิตใหม่ MDF (0.23 ล้าน ลบม./ปี) โดยคาดมีการใช้กำลังการผลิตประมาณ 75% ใน Q1/50 และราคาขาย MDF และ PB เฉลี่ย 240 USD/ลบม. และ 137 USD/ลบม. เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก Q4/49 คาดว่ารายได้ขายน่าจะมีรายได้ 1,838 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15%จากปีก่อน และคาดว่า Gross Profit Margin เฉลี่ย 31.64% เป็นผลจาก Line การผลิต MDF ใหม่ มีประสิทธิภาพที่ดีกว่า Line การผลิตเดิม ทำให้ประหยัดต้นทุนพลังงาน และราคาไม้ยางพารา ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต

2. อยู่ระหว่างศึกษาขยายกำลังการผลิต MDF : เนื่องจากปริมาณความต้องการที่คาดขยายตัวประมาณ 10 ? 15%ต่อปี ขณะที่ปริมาณผลิตยังค่อนข้างจำกัด ทำให้ยังมีความต้องการส่วนเกินอยู่ คาด VNG สรุปผลการศึกษาภายใน Q2/50 โดยคาดจะขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 0.23 ล้าน ลบม. และคาดใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 2 ปี ขณะที่คาดเงินลงทุนใกล้เคียงกับการขยายกำลังการผลิตที่ผ่านมา ประมาณ 2,500 ล้านบาท โดยคาดใช้เงินกู้ทั้งจำนวน

BTSEC จึงคาดปี?50 น่าจะเป็นปีที่ VNG เติบโตโดดเด่น : คาดปริมาณผลิต PB และ MDF เฉลี่ย 95% และ 80% จากกำลังการผลิตสูงสุด 0.98 ล้านลบม. และ 0.50 ล้านลบม. ขณะที่คาดระดับราคา PB และ MDF ที่ 120 USD/ลบม. และ 220 USD/ลบม. คาดรายได้ขาย 7,615 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% ส่วนหนึ่งจากปริมาณผลิต MDF ที่เพิ่มเกือบเท่าตัว ขณะที่แนวโน้มราคายางพาราปรับตัวลง คาด Gross Profit Margin เฉลี่ย 32.89% ดีขึ้นจาก 30.63% เมื่อปี?49 คาดค่าใช้จ่ายขายและบริหาร 1,293 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 20% และคาดกำไรสุทธิ 933 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% หรือ 0.65 บาท/หุ้น (Fully Diluted 1,427 ล้านหุ้น) คาดปันผลสัดส่วนเดียวกับปี?49ไม่ต่ำกว่า 0.30 บาท/หุ้น โดยมีราคาเหมาะสม 5.65 บาท


 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com