May 16, 2024   6:46:54 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้นไทยเสียโอกาส-ฝรั่งหมุนเงินทำกำไร..จับตาหุ้นบลูชิพ
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 16/04/2007 @ 12:10:40
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ล้วนทำลายบรรยากาศการลงทุน ทั้งการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมจริง (Real sector) และการลงทุนในตลาดหุ้น

ผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย ที่เห็นได้ชัดๆ นอกจากดัชนีหุ้นจะปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องแล้วนักลงทุนต่างชาติก็ได้เทขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

โดยเฉพาะจากบรรดากองทุนต่างชาติ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นที่เดิมเคลื่อนไหวอยู่เหนือระดับ 700 จุด ในช่วงก่อนการยึดอำนาจ ทรุดรูดลงมาเหลือ 622 จุด โดยลงมาต่ำสุดถึง 587 จุด หลังถูกกระหน่ำซ้ำเติมด้วยมาตรการ ?รุกฆาต? เงินทุนต่างชาติกดมูลค่าราคาตลาดรวม (มาร์เกตแคป) หายวับไปกับตาในวันเดียวกว่า 850,000 ล้านบาท เพราะผลจากมาตรการดังกล่าว

ขณะที่ความวิตกของหน่วยงานทุกภาคส่วน ที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นได้แผ่ กระจายไปทั่ว เพราะกังวลว่าครานี้ฝรั่งต่างชาติคงเตลิดเปิดเปิงหนีตลาดหุ้นไทยไปแน่ๆ
เพราะเพียงแค่ 2 สัปดาห์ของเดือน ธ.ค. 2549 หลังประกาศใช้มาตรการ ฝรั่งหัวดำหัวแดงได้โชว์ศักดาเทขายสุทธิหุ้นไทยทิ้งกว่า 31,909 ล้านบาท
ดูเหมือนว่า ตลาดหุ้นไทยแทบจะสิ้นอนาคต...!!

หากย้อนหลังไปดูตัวเลขสถิติในวาระต่างๆที่ตลาดหุ้นไทยต้องเผชิญกับชะตากรรมพบว่า ในค่ำวันที่ 19 ก.ย.49 ที่มีการประกาศยึดการปกครอง ดัชนี หุ้นไทยยังยืนอยู่ที่ระดับ 702.56 จุด มูลค่ามาร์เกตแคปยังมั่งคั่งอยู่ถึง 5.153 ล้านล้านบาท หลังถูกสั่งปิดทำการไป 1 วัน คือวันที่ 20 ก.ย.
พลันที่ตลาดหุ้นเปิดทำการในวันที่ 21 ก.ย.ปรากฏว่าดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงลึกไปถึง 673 จุด จากนั้นได้ไหลรูดลงเรื่อยๆ
และหลังจากนั้นเพียง 3 เดือน ในเดือน ธ.ค.ก็ได้มีมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาท ปรากฏว่าดัชนีได้ทรุดฮวบลงไปเหลือเพียง 622.14 จุด มูลค่ามาร์เกตแคปหดเหลือ 4.633 ล้านล้านบาท

จับตาหุ้นบลูชิพ

แต่หลังจากก้าวขึ้นสู่ปีหมูทองพิฆาต 2550 ตลาดหุ้นไทยค่อยๆขยับปรับตัวขึ้นมาอย่างช้าๆ

ขณะที่พบว่า ต่างชาติได้ดอดกลับเข้ามาทยอยซื้อหุ้นไทย นับตั้งแต่เดือน ม.ค.ถึงล่าสุด 12 เม.ย. ต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นคืนแล้ว กว่า 40,000 ล้านบาท

หากจะโฟกัสหุ้นบลูชิพที่ถือเป็นหุ้นน้ำดี หุ้นที่ไม่ว่าฝรั่งชาติไหนที่เข้ามาลงทุนในเมือง ไทยต้องมีติดก้นพอร์ต หนีไม่พ้นหุ้น PTT, PTTEP, TOP, SCC, BBL, SCB, KBANK, KTB และ ADVANC เป็นต้น

หุ้นทั้งหมดที่ยกมานี้เป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีมูลค่ามาร์เกตแคปติดอันดับท็อปเทนสูงสุดของตลาด และมีสภาพคล่องที่เรียกว่า ?ซื้อง่ายขายคล่อง?

มีปัจจัยพื้นฐานแกร่ง ผลประกอบการดี กำไรงาม ฐานะการเงินเยี่ยม เงินทุนหนา เงินสดหมุนเวียนเพียบ ที่สำคัญสามารถจ่ายเงินปันผลงามๆ ให้ผู้ถือหุ้นได้ทุกปี!!

เหล่าเกจิแนะให้สังเกตการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นเหล่านี้ว่า ดูได้ง่ายๆ ถ้ารอบไหนฝรั่ง เทขาย หุ้นบลูชิพจะเป็นตัวนำที่ถูกเททิ้ง ราคาหุ้นจะทรุดตัวลงฮวบๆ

แต่หากรอบไหนจะดูสัญญาณว่า ?เงินฝรั่งเข้า? หุ้นบิ๊กบึ้มเหล่านี้จะเรียงหน้ากระดานปรับตัวขึ้นกันยกแผง

เห็นง่ายๆว่าในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้น PTT ที่เคยลอยลำเหนือ 220 บาท บางคราวขึ้นไปถึง 280 บาท พอเจอมรสุมยึดอำนาจ-มาตรการกำจัดเงินทุน ร่วงลงมาเหลือ 186 บาท

แต่นับตั้งแต่ต้นปีนี้ที่ฝรั่งต่างชาติดอดเข้ามาไล่เก็บไล่ซื้อหุ้นคืนจนสามารถโชว์ยอดซื้อสุทธิไปแล้วกว่า 40,000 ล้านบาทนั้น ราคาหุ้น PTT ปรับขึ้นมาจากต่ำสุดที่ 186 บาท ล่าสุด 12 เม.ย.ขึ้นมาที่ 216 บาท, PTTEP จากราคาต่ำสุดที่ 85 บาท ปรับขึ้นมาที่ 92 บาท แต่ยังต่ำกว่าช่วงก่อนยึดอำนาจซึ่งเคยดีดเด้งเหนือ 107 บาท

หุ้น TOP จากต่ำสุดที่ 48 บาท ขึ้นมาที่ 62 บาท แต่ยังไกลจากจุดสูงสุดที่เคยทำได้ถึง 75 บาท, หุ้น SCC ล่าสุดขึ้นมาแตะที่ 238 บาท จากที่โดนมรสุมหล่นลงเหลือ 200 บาทต้นๆ

หุ้น BBL ล่าสุดอยู่ที่ 113 บาท หลังจากที่ตุ๊มๆต่อมๆต่ำกว่า 100 บาท ส่วน SCB จาก 53 บาท ยืนขึ้นมาได้ที่ 67.50 บาทแล้ว ขณะที่ KBANK มายืนที่ 68 บาทได้ จากเดิม 57 บาท เป็นต้น




 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 16/04/2007 @ 12:12:21 :
ไร้เม็ดเงินใหม่

อย่างไรก็ตาม มีคำถามตามมาว่า เหตุใดฝรั่งจึงกลับมาซื้อหุ้นไทย ทั้งที่น่าจะเตลิดเปิด เปิงไปแล้วตั้งแต่มาตรการ ?รุกฆาต? เงินทุนต่างชาติ

เพราะการเมืองก็ยังอึมครึม ขู่กันฮึ่มๆ เศรษฐกิจชะลอตัวหัวทิ่ม ประชาชนหน้าแห้ง กำลังซื้อหด การลงทุนชะงัก นักธุรกิจต้องออกมาโอดครวญ ให้รัฐบาลเลิกใส่เกียร์ว่าง ช่วยหยอดน้ำมันเหยียบคันเร่งให้เต็มตีน
บรรดาเกจิและสำนักวิเคราะห์ต่างๆ หรือแม้กระทั่งหน่วยงานทางการออกมาปรับลดประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจปีนี้ลงระลอกแล้วระลอกเล่า

แล้วเงินฝรั่งที่ซื้อหุ้นมาจากไหน ทำไมถึงยังกลับมาซื้อ!!

?ก้องเกียรติ โอภาสวงการ? ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เกจิตัวจริงเสียงจริง ของตลาดหุ้นไทย บอกว่า ไม่มีเม็ดเงินใหม่เข้ามาในตลาดหุ้นไทย เงินที่ซื้อหุ้นรอบนี้ส่วนใหญ่เป็นเงินเก่า ที่ก่อนหน้านี้ฝรั่งได้เทขายหุ้นออกมาอย่างหนัก แต่ไม่ได้นำเงินออกไปนอกประเทศ โดยตั้งพักไว้ในบัญชี เงินฝากผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ เพราะถ้าเอาเงินออกไป หากจะนำกลับเข้ามาอีกครั้งก็มีขั้นตอนซับซ้อนยุ่งยาก หลังจากมีมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงิน จึงตั้งพักรอไว้ในบัญชีเงินฝากจำนวนมาก

เพราะนอกจากจะได้ดอกเบี้ยแล้ว ยังได้กำไรจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เรื่อยๆ ถือว่าได้กำไร 3 ต่อ เพราะเมื่อฝรั่งเห็นแนวโน้มที่ดีขึ้นของตลาดหุ้นไทยก็จะกลับเข้ามาซื้อหุ้นคืน เช่น การกลับเข้ามาซื้อหุ้นรอบนี้ ที่เข้ามาในช่วงก่อนที่หุ้นบลูชิพจะมีการจ่ายเงินปันผล นอกจากจะซื้อหุ้นคืนได้ในราคาถูก ได้กำไรจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นแล้วยังได้สิทธิรับเงินปันผลอีกด้วย

ที่สำคัญ แม้บริษัทจดทะเบียนในไทยปีนี้โดยเฉลี่ยจะมีกำไรลดลง แต่ราคาหุ้นไทยที่อยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค ก็ถือว่ายังคุ้มค่า เพราะเมื่อเทียบกับราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) เฉลี่ยของตลาดหุ้นไทยยังอยู่แค่ 8-9 เท่า ขณะที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคนี้ P/E วิ่งขึ้นไปถึง 20-30 เท่ากัน แล้ว สาเหตุที่ราคาหุ้นไทยถูกเพราะถูกกดดันจากปัจจัยลบภายในประเทศที่ย่ำแย่เอง จึงถูกดิสเคาต์หรือกดราคาจากความเสี่ยงภายใน

หุ้นไทยเสียโอกาส

ขณะที่ผู้บริหารระดับสูงโบรกเกอร์ต่างชาติบอกว่า ช่วงนี้มีเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในเอเชียจำนวนมหาศาล ทำให้ตลาดหุ้นทุกประเทศในเอเชียปรับตัวขึ้นอย่างคึกคัก หลายประเทศ ดัชนีทำจุดสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยได้อานิสงส์ปรับตัวขึ้นจากเม็ดเงินฝรั่งไปด้วย

แต่หากเปรียบเทียบเงินทุนที่ไหลเข้าในเอเชียแล้วถือว่าประเทศไทยได้รับอานิสงส์น้อยมาก เพราะหากประเทศไทยไม่อยู่ในภาวะทหารครองเมือง หรือไม่มีมาตรการรังเกียจเงินทุนต่างชาติ และมีรัฐบาลที่เป็นมืออาชีพและให้ความสำคัญกับภาคเศรษฐกิจมากกว่านี้ เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยคงจะคึกคักและได้ประโยชน์จากเงินทุนรอบนี้มหาศาล!!

แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าทิศทางของตลาดหุ้นไทยน่าจะดีขึ้น มีเม็ดเงินลงทุนใหม่ๆเข้ามาลงทุน หากมีการเร่งการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ และมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับการยอมรับออกมา รวมทั้งมีการเลือกตั้งและมีรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง

ที่สำคัญคือการยกเลิกมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาท ที่ได้สกัดโอกาสที่ดีของเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นไทย!!


 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com