ล้วนทำลายบรรยากาศการลงทุน ทั้งการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมจริง (Real sector) และการลงทุนในตลาดหุ้น
ผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย ที่เห็นได้ชัดๆ นอกจากดัชนีหุ้นจะปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องแล้วนักลงทุนต่างชาติก็ได้เทขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
โดยเฉพาะจากบรรดากองทุนต่างชาติ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นที่เดิมเคลื่อนไหวอยู่เหนือระดับ 700 จุด ในช่วงก่อนการยึดอำนาจ ทรุดรูดลงมาเหลือ 622 จุด โดยลงมาต่ำสุดถึง 587 จุด หลังถูกกระหน่ำซ้ำเติมด้วยมาตรการ ?รุกฆาต? เงินทุนต่างชาติกดมูลค่าราคาตลาดรวม (มาร์เกตแคป) หายวับไปกับตาในวันเดียวกว่า 850,000 ล้านบาท เพราะผลจากมาตรการดังกล่าว
ขณะที่ความวิตกของหน่วยงานทุกภาคส่วน ที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นได้แผ่ กระจายไปทั่ว เพราะกังวลว่าครานี้ฝรั่งต่างชาติคงเตลิดเปิดเปิงหนีตลาดหุ้นไทยไปแน่ๆ
เพราะเพียงแค่ 2 สัปดาห์ของเดือน ธ.ค. 2549 หลังประกาศใช้มาตรการ ฝรั่งหัวดำหัวแดงได้โชว์ศักดาเทขายสุทธิหุ้นไทยทิ้งกว่า 31,909 ล้านบาท
ดูเหมือนว่า ตลาดหุ้นไทยแทบจะสิ้นอนาคต...!!
หากย้อนหลังไปดูตัวเลขสถิติในวาระต่างๆที่ตลาดหุ้นไทยต้องเผชิญกับชะตากรรมพบว่า ในค่ำวันที่ 19 ก.ย.49 ที่มีการประกาศยึดการปกครอง ดัชนี หุ้นไทยยังยืนอยู่ที่ระดับ 702.56 จุด มูลค่ามาร์เกตแคปยังมั่งคั่งอยู่ถึง 5.153 ล้านล้านบาท หลังถูกสั่งปิดทำการไป 1 วัน คือวันที่ 20 ก.ย.
พลันที่ตลาดหุ้นเปิดทำการในวันที่ 21 ก.ย.ปรากฏว่าดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงลึกไปถึง 673 จุด จากนั้นได้ไหลรูดลงเรื่อยๆ
และหลังจากนั้นเพียง 3 เดือน ในเดือน ธ.ค.ก็ได้มีมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาท ปรากฏว่าดัชนีได้ทรุดฮวบลงไปเหลือเพียง 622.14 จุด มูลค่ามาร์เกตแคปหดเหลือ 4.633 ล้านล้านบาท
จับตาหุ้นบลูชิพ
แต่หลังจากก้าวขึ้นสู่ปีหมูทองพิฆาต 2550 ตลาดหุ้นไทยค่อยๆขยับปรับตัวขึ้นมาอย่างช้าๆ
ขณะที่พบว่า ต่างชาติได้ดอดกลับเข้ามาทยอยซื้อหุ้นไทย นับตั้งแต่เดือน ม.ค.ถึงล่าสุด 12 เม.ย. ต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นคืนแล้ว กว่า 40,000 ล้านบาท
หากจะโฟกัสหุ้นบลูชิพที่ถือเป็นหุ้นน้ำดี หุ้นที่ไม่ว่าฝรั่งชาติไหนที่เข้ามาลงทุนในเมือง ไทยต้องมีติดก้นพอร์ต หนีไม่พ้นหุ้น PTT, PTTEP, TOP, SCC, BBL, SCB, KBANK, KTB และ ADVANC เป็นต้น
หุ้นทั้งหมดที่ยกมานี้เป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีมูลค่ามาร์เกตแคปติดอันดับท็อปเทนสูงสุดของตลาด และมีสภาพคล่องที่เรียกว่า ?ซื้อง่ายขายคล่อง?
มีปัจจัยพื้นฐานแกร่ง ผลประกอบการดี กำไรงาม ฐานะการเงินเยี่ยม เงินทุนหนา เงินสดหมุนเวียนเพียบ ที่สำคัญสามารถจ่ายเงินปันผลงามๆ ให้ผู้ถือหุ้นได้ทุกปี!!
เหล่าเกจิแนะให้สังเกตการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นเหล่านี้ว่า ดูได้ง่ายๆ ถ้ารอบไหนฝรั่ง เทขาย หุ้นบลูชิพจะเป็นตัวนำที่ถูกเททิ้ง ราคาหุ้นจะทรุดตัวลงฮวบๆ
แต่หากรอบไหนจะดูสัญญาณว่า ?เงินฝรั่งเข้า? หุ้นบิ๊กบึ้มเหล่านี้จะเรียงหน้ากระดานปรับตัวขึ้นกันยกแผง
เห็นง่ายๆว่าในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้น PTT ที่เคยลอยลำเหนือ 220 บาท บางคราวขึ้นไปถึง 280 บาท พอเจอมรสุมยึดอำนาจ-มาตรการกำจัดเงินทุน ร่วงลงมาเหลือ 186 บาท
แต่นับตั้งแต่ต้นปีนี้ที่ฝรั่งต่างชาติดอดเข้ามาไล่เก็บไล่ซื้อหุ้นคืนจนสามารถโชว์ยอดซื้อสุทธิไปแล้วกว่า 40,000 ล้านบาทนั้น ราคาหุ้น PTT ปรับขึ้นมาจากต่ำสุดที่ 186 บาท ล่าสุด 12 เม.ย.ขึ้นมาที่ 216 บาท, PTTEP จากราคาต่ำสุดที่ 85 บาท ปรับขึ้นมาที่ 92 บาท แต่ยังต่ำกว่าช่วงก่อนยึดอำนาจซึ่งเคยดีดเด้งเหนือ 107 บาท
หุ้น TOP จากต่ำสุดที่ 48 บาท ขึ้นมาที่ 62 บาท แต่ยังไกลจากจุดสูงสุดที่เคยทำได้ถึง 75 บาท, หุ้น SCC ล่าสุดขึ้นมาแตะที่ 238 บาท จากที่โดนมรสุมหล่นลงเหลือ 200 บาทต้นๆ
หุ้น BBL ล่าสุดอยู่ที่ 113 บาท หลังจากที่ตุ๊มๆต่อมๆต่ำกว่า 100 บาท ส่วน SCB จาก 53 บาท ยืนขึ้นมาได้ที่ 67.50 บาทแล้ว ขณะที่ KBANK มายืนที่ 68 บาทได้ จากเดิม 57 บาท เป็นต้น