May 16, 2024   11:20:55 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > นายเรียนรู้...
 

Toon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 973
วันที่: 17/04/2007 @ 11:36:52
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ที่มา : ชัย จิระเสวีนุประพันธ์

หัวคอลัมน์ : แนวโน้มตลาดฯ และกลยุทธ์การลงทุน

CNSมีมุมมองที่เป็นบวกต่อการลงทุนในระยะกลางและยังคงแนะนำซื้อเมื่ออ่อนตัวในส่วนของคาดการณ์แนวโน้มดัชนีฯระยะสัปดาห์CNSคาดว่าดัชนีฯจะแกว่งตัวขึ้นสลับปรับฐานในกรอบ685-700/705จุดโดยประเด็นสนับสนุนการซื้อเมื่ออ่อนตัวได้แก่(1)กลุ่มธนาคารฯที่จะ

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยสูงสุดในสัปดาห์นี้

(1) การประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/50 ของกลุ่มธนาคารฯ (+/-) กลุ่มธนาคารฯที่จะทยอยประกาศผลการดำเนินงานเริ่มจาก วันที่ 18 เม.ย.ได้แก่ SCIB (พิจารณาจากผลสำรวจ Bloomberg คาดว่าจะรายงานกำไรสุทธิลดลง 2% y-y และ เพิ่มขึ้น 40% q-q) วันที่ 20 เม.ย. ได้แก่ SCB (- 41.78% y-y, +104.69% q-q) BAY(-49.68% y-y, +125.16% q-q) TMB (-22.37% y-y, +111.50% q-q) BBL (-3.53% y-y, +23.77% q-q) และ KBANK (+3.75%, +9.51%) โดยมีเพียง KBANK ที่คาดว่าจะรายงานกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นทั้ง y-y และ q-q ซึ่งกำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารฯที่เพิ่มขึ้น q-q เป็นผลจาก (1) ไตรมาสที่ 1/50 ไม่มีการตั้งสำรองเพิ่มเติมในส่วนของเกณฑ์ IAS39 โดยการตั้งสำรองในเฟสที่ 2 สำหรับเกณฑ์ IAS39 จะมีการบันทึกใน H2/50 ขณะที่ธนาคารขนาดใหญ่อาทิเช่น BBL SCB KABNK ได้ตั้งสำรองครบไปแล้ว (2) การบันทึกกำไรจากเงินลงทุนตราสารวายุภักดิ์ ในส่วนของกำไรสุทธิที่ลดลง y-y เป็นผลจาก ส่วนต่างดอกเบี้ยที่แคบลงทันทีหลังจากที่บางธนาคารมีการประกาศปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงตามดอกเบี้ยเงินฝาก อย่างไรก็ตาม CNS ยังคงมีมุมมองทีเป็นบวกต่อแนวโน้มส่วนต่างดอกเบี้ยของกลุ่มธนาคารฯ เนื่องจาก (1) ดอกเบี้ยเงินฝากประจำสำหรับส่วนที่ครบกำหนด (3-6 เดือนขึ้นไป) จะเริ่มทยอยใช้อัตราดอกเบี้ยใหม่ซึ่งจะส่งผลให้ส่วนต่างดอกเบี้ยปรับสูงขึ้นในไตรมาสที่ 2/50 เป็นต้นไป (2) ดอกเบี้ยนโยบายที่ผ่อนคลายจะช่วยกระตุ้นยอดสินเชื่อ (3) ธนาคารฯมีพอร์ตการลงทุนในตราสารหนี้ที่ได้กำไรจากดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับลดลง ซึ่งช่วยดึงส่วนต่างดอกเบี้ยให้ดีขึ้นได้ (ธนาคารที่ได้ประโยชน์สูงสุด ได้แก่ BBL และ SCIB)

(2) ฤดูกาลประกาศผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ (+/-) พิจารณาจากผลสำรวจการปรับแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทฯ (Earning Revisions) พบว่าในไตรมาสที่ 1/50 มีจำนวนบริษัทฯที่ถูกปรับประมาณการมีทั้งสิ้น 97 บริษัทฯ และจำนวน 54 บริษัทฯมีการปรับลดคาดการณ์แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/50 ลง (จำนวน 43 บริษัทฯถูกปรับขึ้น) CNS พบว่ากลุ่มที่ถูกปรับประมาณการลง ได้แก่ กลุ่มที่เชื่อมโยงกับน้ำมัน เช่น Conocophilips อุตสหกรรมการผลิตรถยนต์ เช่น General Motors และกลุ่มที่ได้รับการปรับประมาณการขึ้นได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี เช่น Intel Corp, Yahoo เป็นต้น ในส่วนของผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยคาดว่า จะส่งผลลบเชิงจิตวิทยาหากตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับลดลงแรงจากการประกาศผลการดำเนินงานที่แย่กว่าคาด อย่างไรก็ตามในส่วนของผลกระทบต่อหุ้นรายตัว CNS คาดว่าแนวโน้มการปรับประมาณการณ์กำไรของกลุ่มเทคโนโลยีฯขึ้นจะส่งผลบวกต่อหลักทรัพย์ที่เชื่อมโยงได้แก่ CCET

(3) ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ แนวโน้มเงินเฟ้อปรับสูงขึ้น (-) สหรัฐฯจะรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคเดือน มี.ค.ในวันที่ 17 เม.ย.โดยตลาดคาดว่าจะมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นทั้ง m-m และ y-y โดยดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.6% m-m และ 2.8% y-y (จากเดือนที่แล้วที่ 0.4% และ 2.4% ตามลำดับ) และจากผลกระทบดังกล่าว เมื่อพิจารณาผลสำรวจพบว่า FED มีแนวโน้มที่จะยังคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 5.25% สำหรับการประชุมในวันที่ 10 พ.ค. ในส่วนของผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยจากกรณีที่คาดว่า FED ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 5.25% (1) ส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่าง ไทย ญี่ปุ่น และสหรัฐฯยังกว้างต่อไปและความกังวลในประเด็น YEN Carry-trade จะยังคงชะลอออกไป (2) เศรษฐกิจสหรัฐฯที่ชะลอตัวจากการไม่สามารถใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย สร้างความวิตกต่อการลงทุน

(4) แนวโน้มการปรับสูงขึ้นต่อเนื่องของดัชนีค่าระวางเรือตามทิศทางตัวเลขเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย (+) จีนจะประกาศตัวเลข จีดีพีไตรมาสที่ 1/50 ในวันที่ 19 เม.ย.และคาดว่าจะขยายตัวถึง 10.3% ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของ NOMURA ต่อทิศทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกที่อิงกับตลาดเกิดใหม่มากขึ้น ดังนั้นจากตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ที่เติบโตสูงตามเศรษฐกิจจีนและอินเดิย CNS เห็นว่ากลุ่มฯที่เชื่อมโยงโดยตรงได้แก่ กลุ่มเรือเทกองที่จะได้ประโยชน์จาก อุปสงค์และอุปทานที่สูงขึ้นจากเศรษฐกิจจีน และ อินเดียที่เติบโตสูง

(5) ปัจจัยอื่นๆ การประกาศแผนธุรกิจของ BAY ในวันที่ 23 เม.ย.(+) การชุมนุมทางการเมือง (-) การประกาศผลการดำเนินงานของกลุ่มที่ไม่ใช่ธนาคารฯ (+/-) เช่น SCC (วันที่ 26 เม.ย.) คาดว่าเติบโต 51% q-q แต่ลดลง 26% y-y
[/size:7e86741f97">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com