ด้านนายตรรก บุนนาค ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เปิดเผยว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากของ ธนาคารกรุงไทย โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ย MLR ที่ปรับลดลง 0.5% ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณที่ธนาคารพาณิชย์อื่นที่จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เพราะ KTB เป็นธนาคารขนาดใหญ่และเป็นธนาคารของรัฐ ส่วน BAY จะพิจารณาใน 1-2 วัน โดยรอดูว่าธนาคารพาณิชย์อื่นจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
เจ้าหน้าที่วิเคราะห์รายหนึ่ง ให้ความเห็นว่าหลังจากที่ KTB ได้ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้นำร่องไปแล้วเชื่อว่าธนาคารพาณิชย์รายอื่นๆ น่าจะประกาศปรับลดตามมาภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ แต่ในส่วนของ ผลกระทบที่จะเกิดกับหุ้นกลุ่มแบงก เชื่อว่าจะไม่หวือหวามากนักในระยะสั้น แต่จะส่งผลดีในระยะยาวมากกว่า โดยคาดว่าประมาณไตรมาส 3 น่าจะเห็นบวกผลที่ชัดเจน จากนโยบายการเงินที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดดอกเบี้ย และทำให้ยอดการปล่อยสินเชื่อฟื้นตัว และหุ้นอีกกลุ่มที่นักลงทุนต้องจับตา เพราะจะได้รับผลบวกโดยตรงจากมาตรการดังกล่าวก็คือกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เพราะจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดแรงซื้อเพิ่มขึ้น
สำหรับความเคลื่อนไหวในตลาดหุ้นก็เริ่มเห็นผลแล้วโดยดูจากการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวานนี้ หลักทรัพย์ที่นำตลาดและดันดัชนีดีดตัวขึ้น เป็นกลุ่มที่อิงกับอัตราดอกเบี้ย อย่างกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ขณะที่หุ้นในกลุ่มธนาคารนั้น ก็มีแรงเก็งกำไรในเรื่องการคาดการณ์ผลประกอบการในไตรมาส 1/50
เจ้าหน้าที่วิเคราะห์จาก บล.ไทยพาณิชย์ คาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะลดลงอีก 0.25-0.50% ภายในสิ้นปี เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอตัวลงอย่างมากนับถึงปัจจุบัน เห็นได้จากดัชนีการบริโภคภาคเอกชนและดัชนีการลงทุนภาคเอกชนในเดือน ก.พ. ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยลดลง 1.2% และ 1.8% เทียบปีต่อปีตามลำดับ ในขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อก็มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือน มี.ค. ลดลงสู่ระดับ 2.0% และ 1.3% ตามลำดับ
ส่วนบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ให้ความเห็นว่าดอกเบี้ยที่ปรับลดลง ถือเป็นข่าวดีกับกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะที่พักอาศัย เพราะอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำลง ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น และเป็นปัจจัยจิตวิทยาทางบวกต่อการตัดสินใจซื้อ นอกจากนั้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ยังมีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่คาดว่าจะออกมาในไม่ช้านี้ และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์มีความเชื่อมโยงทั้งไปข้างหน้าและข้างหลัง (Forward & Backward linkage) กับอีกหลายอุตสาหกรรม เช่น วัสดุก่อสร้าง (ปูนซีเมนต์, เหล็ก, กระเบื้องปูพื้น-บุผนัง, กระเบื้องมุงหลังคา, สี), ถมดิน, รถบรรทุก, เฟอร์นิเจอร์, ธนาคารพาณิชย์, พาณิชย์ (โดยเฉพาะ HMPRO) เป็นต้นดังนั้นจึงมีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้รัฐบาลพิจารณากระตุ้นอุตสาหกรรมนี้เพื่อนำไปสู่การฟื้นตัวในอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แนะนำเลือกซื้อ 1) หุ้นกลุ่มที่พักอาศัยที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ซึ่งได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาลง และ 2) หุ้นพื้นฐานดีปันผลสูง ซึ่งจากการวิเคราะห์พบว่าหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในกลุ่มที่พักอาศัย ประกอบด้วย QH, SPALI, NOBLE และ SC ส่วนหุ้นปันผลสูงที่ให้เป็น Top Picks คือ MCS, SPF, TISCO และ DCC