May 17, 2024   11:04:43 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > กระซิบหน้าจอ
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 24/04/2007 @ 11:24:16
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

SET Index วันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2550 ปิดที่ดัชนี 686.18 จุด -1.35 จุด มูลค่าการซื้อขาย 10,620 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 618.23 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 68.44 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 549.79 ล้านบาท SET Index ทำ High ที่ระดับ 690.53 จุด +3.00 จุด และ Low ที่ระดับ 685.16 จุด -2.37 จุด ทิศทางเพื่อนบ้านดีเป็นบวกกันทั่วโลกส่งผลดีกับตลาดหุ้นบ้านเราให้เปิดตลาดดัชนีปรับตัวขึ้นเป็นบวก แต่แรงซื้อไม่มากพอเมื่อมีแรงขายมากจากกลุ่มธนาคารจากความกังวลเกี่ยวกับเรื่องหนี้

NPLและแนวโน้มการลดลงของกำไรใน Q2/50 โดยเฉพาะหุ้นแบงค์กรุงไทยซึ่งมีแรงเทขายเข้ามาอย่างหนักจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงที่ 0.50% ซึ่งมากกว่าแบงค์อื่นกอปรกับการประกาศผลประกอบการ Q1/50 ที่ลดลง
แต่ตลาดก็ยังมีแรงซื้อหุ้นจากกลุ่มขนส่งและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ช่วยกันพยุงดัชนีไม่ให้ปรับลดลงมาก รวมถึงหุ้นฮอตเก็งกำไร (PT) ที่หายหน้าหายตาไประยะหนึ่งเนื่องจากติดคำสั่งห้ามเน็ตฯ จากเบื้องบนซึ่งวานนี้สิ้นสุดคำสั่งกลับมาเทรดได้ตามปกติ ส่งผลให้เจ้าตัวแผลงฤทธิ์อีกครั้งราคาวิ่งฉิวปิดตลาดติดเพดานตั้งแต่วันแรกที่หลุดโซ่ตรวน วิ่งแรงอย่างนี้เบื้องบนจะว่าอย่าง...ไร

SEAFCO ราคาเปิด 7.95 บาท ราคาปิด 7.80 บาท มูลค่าการซื้อขาย 7.17 ล้านบาท คาดว่ากำไรสุทธิในQ1/50 จะสดใสเป็น 40 ล้านบาท เติบโตดีเป็น 25% YoYและ 31% QoQ เนื่องจากรายได้ก่อสร้างสูงเป็น 630 ล้านบาท เพิ่ม 57% YoY ตามมูลค่างานก่อสร้างในมือสิ้นปี 2549 ที่ 918 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายการขาย-บริหารลดลง และจากมูลค่างานในมือและที่ประมูลได้เพิ่ม ใน Q1/50 อีก 486 ล้านบาท รวมเป็น 1,404 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 56% เทียบกับประมาณการรายได้ปีนี้ที่ 2,500 ล้านบาท ส่วนงานต่างประเทศปีนี้น่าจะได้รับงานที่สิงคโปร์ประมาณ 1-2 งาน สำหรับ SEAFCO ในประเด็นการมีส่วนครองตลาดสูงสุดที่ 45% ขณะที่งานคอนโดมิเนียมและก่อสร้างรถไฟฟ้าจะเป็นตัวเร่งให้บริษัทได้งานเพิ่ม และคาดการณ์มูลงานในมือปลายปี 2550 สูงเป็น 1,100 ล้านบาท ส่งผลให้ให้ปี 2551 จะมีรายได้มั่นคงดี ดังนั้น K.KRAZIP เห็นว่าราคาหุ้นได้ปรับลงหลัง XD แนะนำ "ทยอยสะสม" แนวรับที่ 7.60 บาท แนวต้านที่ 8.50 บาท

LPN ราคาเปิด - ปิด 5.70 บาท มูลค่าการซื้อขาย 20.17 ล้านบาท ผู้บริหาร LPN เปิดเผยว่า ในปีนี้มีโครงการทั้งหมด 6 แห่ง มูลค่ารวม 8,000 ล้านบาท ซึ่งเน้นคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองที่ปัจจุบันมีแนวโน้มที่ดี
มูลค่าสินทรัพย์หลังจากที่ขายให้ลูกค้าไม่ปรับลดลง เพื่อเป็นการจูงใจลูกค้าให้เข้ามาซื้อคอนโดของ LPN ได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจุดเด่นของโครงการคือการสร้างคุณภาพของชุมชนและสังคมรอบข้าง รวมทั้งเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครบครัน สำหรับการเปิดตัวโครงการลุมพินี คอนโดทาวน์ รามอินทรา เฟส 1 จำนวน 1,568 ยูนิต มูลค่าประมาณ 1,100 ล้านบาท ในช่วงสุดสัปดาห์หน้า จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าเก็งกำไรใน LPN
คาดว่าโครงการดังกล่าวจะประสบความสำเร็จสูงเช่นเดียวกับโครงการลุมพินี คอนโดทาวน์ รามคำแหง 43/1 ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ "ซื้อ" โดยมีแนวรับที่ 5.55 บาท แนวต้าน 6 บาท SAMART ราคาเปิด- ปิด 8.50บาท มูลค่าการซื้อขาย2.16 ล้านบาท จากการที่ผลประกอบการปี 50 จะยังได้ประโยชน์จากบริษัทลูก คาดว่า SAMART จะมีรายได้ เพิ่มขึ้น 21%และมีกำไรจากการดำเนินงาน เพิ่มขึ้นอีก24% โดยมีการประมาณการยอดขายเครื่องโทรศัพท์ของ SIM บริษัทลูกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 10% และค่าดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 7% และนอกจากนี้ยังจะมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอีก 18% และสำหรับ SAMTEL มีแนวโน้มปรับประมาณการรายได้ปี 50 ลงเล็กน้อยจากความล่าช้าการเปิดประมูลโครงการของรัฐ และการชะลอซื้อหุ้นของ Portalnet เพื่อรอความชัดเจนเรื่องค่าปรับในการส่งมอบงานล่าช้า ซึ่งคาดว่า Backlog ที่มีราว 1,000 ล้านบาท และการรับรู้รายได้จากโครงการต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการอินเตอร์เน็ตตำบล, โครงการ AMR และโครงการวางระบบของ CASACOM ทำให้ SAMTEL จะมีรายได้ เพิ่มขึ้น 43% และมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 33% เมื่อดูจากผลประกอบการแล้วน่าจะทำให้ SAMART
มีผลประกอบการที่ดีขึ้นกว่าปีที่แล้วอย่างแน่นนอน และขณะที่ธุรกิจบริษัทย่อยอย่าง SIM และ SAMTEL มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่ยังมี Upside จากการประมูลโรงไฟฟ้าขนาด 200MW ในกัมพูชาที่ยังไม่ประกาศผลดังนั้น K.KARZIPจึงแนะนำ ?ซื้อ? จากแนวโน้มผลประกอบการที่ยังเติบโตจากธุรกิจที่ลงทุน โดยมีแนวรับที่ 8.50 บาท แนวต้าน 8.75 บาท

BAFS ราคาเปิด 11.40 บาท ราคาปิด 11.30 บาท มูลค่าการซื้อขาย 0.75 ล้านบาท BAFS มีผลประกอบการที่เติบโตโดดเด่น สะท้อนจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นหลังจากการเปิดสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นปัจจัยบวกต่อปริมาณการให้บริการเติมน้ำมันเครื่องบินของบริษัทให้เพิ่มขึ้น ขณะที่ผลกระทบจากการเปิดสนามบินดอนเมืองควบคู่ยังไม่กระทบการรับรู้รายได้ในไตรมาสแรกของปี 2550 ถึงแม้ว่าแนวโน้มค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เป็นปัจจัยลบต่อผลประกอบการ ส่วนเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ก็กดดันการเติบโตของผลประกอบการปี 2550 อย่างไรก็ตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ยในอนาคตที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง
ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศ รวมทั้งมาตรการกระตุ้นภาคการลงทุนของรัฐบาล
ทำให้เชื่อว่าน่าจะมีการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยอีกในอนาคต ทำให้เชื่อว่ากำไรสุทธิปี 2550 ยังมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นเพียงพอที่จะครอบคลุมรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นได้ K.KRAZIP ยังมองว่า BAFS เป็นหุ้นที่ให้อัตราผลตอบแทนที่สูงตัวหนึ่งเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มพลังงาน และแนวโน้มในอนาคตจะมีการขยายตัวของปริมาณน้ำมันที่ให้บริการเพิ่มขึ้น แนะนำ "ซื้อ" โดยมีแนวรับที่ 11.10 บาท แนวต้าน 11.60 บาท

ที่มา ทันหุ้น[/color:ef10ce270a">

 กลับขึ้นบน
brown
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 60
#1 วันที่: 24/04/2007 @ 11:48:05 :
[b:7602b50e42">ขอบคุณครับ[/b:7602b50e42">[/color:7602b50e42">
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com