May 17, 2024   1:26:16 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > 8 เซียนแจกหุ้นเด็ด
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 25/04/2007 @ 23:25:58
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

***เกียรตินาคิน มองดัชนีฯ Q2/50 จะซึมอยู่ที่ 660-700 จุด ทั้งคาด กนง.จะลดดบ.อีก 0.25-50%

นางวิริยา ลาภพรหมรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน จำกัด ได้กล่าวในงานสัมมนาประจำปี efinancethai2007 ในหัวข้อ SET คึก ซึม ทรุด หลังทำบุญประเทศ ว่า โดยส่วนตัวมองว่าในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2550 นี้ ตลาดหลักทรัพย์ไทยจอยู่ในช่วงภาวะการซึมตัว โดยจะมีแนวรับอยู่ที่ 660 จุด และมีแนวต้านอยู่ที่ 700 จุด หากสถานการณ์ทางการเมืองยังคงมีความเคลื่อนไหวและมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันบ้าง แต่ยังไมถึงกับเกิดปัญหาขัดแย้งอย่างรุนแรง

ในขณะที่การจัดร่างรัฐธรรมนูญยังคงเดินหน้าต่อไป ส่วนปัจจัยอื่นๆ อาทิ อัตราดอกเบี้ย ยังปรับตัวลดลง ซึ่งคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกประมาณ 0.25-0.50% ได้ ส่วนราคาน้ำมันจะทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 60-65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

อย่างไรก็ตาม หากปัจจัยเหล่านี้มีความเปลี่ยนแปลงไป หรือมีทิศทางที่เลวร้ายลง ดัชนีตลาดหุ้นได้อาจจะมีการปรับตัวลงได้ ซึ่งในช่วงของครึ่งปีหลังของปีนี้จะเป็นอย่างไรจะทรุดลงหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองว่าจะมีการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการได้หรือไม่

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ให้เลือกดูหุ้นที่มีผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ออกมาดี โดยในกลุ่มธนาคาร แนะนำให้เลือก KBANK, SCB และ BBL ส่วนตัวของ TMB ที่มีผลประกอบการออกมาดีกว่าที่คาดกันไว้นั้น เป็นผลมาจากการตั้งสำรองที่ลดลง แต่ยังมีความกังวลในเรื่องการเพิ่มทุนที่ยังไม่มีความชัดเจน ดังนั้นจึงไม่น่าสนใจ

นอกจากนี้ ยังมีหุ้นบางกลุ่มที่มีผลประกอบการในไรมาสแรกของปีกระเตื้องขึ้น เช่น CCET และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ซึ่งได้ประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้น ทำให้ได้กำไรจากการชำระหนี้ต่างประเทศ เช่น TPIPL ซึ่งมีหนี้ต่างประเทศสูง โดยจะได้ประโยชน์จากการแข็งค่าของเงินบาท รวมทั้งมีช่องว่างสำหรับการเหวี่ยงของหุ้น ที่น่าจะไปได้ต่อถึง 12.50-13 บาท

ส่วนหุ้นในลุ่มพลังงานให้ตั้งรับแม้ว่ากลุ่มโรงกลั่นน้ำมันมีการคาดการณ์ว่าจะมีผลประกอบการที่ดีขึ้นตามค่าการกลั่นที่ปรับตัวเพิ่ม แต่ราคาหุ้นก็ได้สะท้อนประเด็นดังกล่าวไปแล้ว ส่วนหุ้นกลุ่มสื่อสาร ให้เลือก TT&T ที่น่าจะได้ประโยชน์หากโครงการ เทเลคอม พูล และสัญญาโทรคมนาคม มีความคืบหน้า รวมถึงกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งหากภาครัฐมีความคืบหน้าดำเนินการก่อสร้างรถไฟฟ้าก็จะทำให้กลุ่มดังกล่าวได้ประโยชน์

**** SCBS เชื่อหุ้นไทยอาจทรุดตัวช่วงแรก แต่จะดีดกลับได้เร็ว เหตุ นลท.ต่างชาติยังซื้อสุทธิ

นายอดิพงษ์ ภัทรวิกรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไทยพาณิชย์(SCBS) กล่าวในงานสัมมนาประจำปี efinancethai2007 ในหัวข้อ SET คึก ซึม ทรุด หลังทำบุญประเทศ ว่า มีมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยว่าในช่วงแรกนี้อาจจะทรุดลงก่อน หลังจากนั้นก็น่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้แรงและเร็ว เนื่องจากยังพบว่ามีเงินจากนักลงทุนต่างประเทศรอซื้อหุ้นในตลาดหุ้นไทยอยู่ และมีเพียงไม่ถึง 10% ที่ลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยลง

แม้ว่าที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติจะซื้อสุทธิมาโดยตลอด ตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว แต่ก็มองว่ายังคงซื้อไม่เต็มที่ ดังนั้นตรงนี้ก็เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทยได้ นายอดิพงษ์ กล่าว

ส่วนการที่นักลงทุนต่างชาติจะนำเงินลงทุนออกจากประเทศไทย ยังไม่รู้แน่ชัด ดังนั้นก็ต้องเฝ้าระวังต่อไป หากประเทศจีนปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อชะลอเศรษฐกิจก็จะส่งผลให้เงินไหลเข้าลดลงและจะส่งกระทบต่อประเทศในภูมิภาคเดียวกันด้วย และตลาดหุ้นไทยที่ค่อนข้างนิ่งหากลงก็จะลงแรงได้

****ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ ฟันธง ตลาดหุ้นไทยปี 50 ทรงตัว เหตุรับผลกระทบจากการชะลอตัวทาง ศก.ประเทศมหาอำนาจ

นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลัทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวในงานสัมมนาประจำปี efinancethai2007 ในหัวข้อ SET คึก ซึม ทรุด หลังทำบุญประเทศ ว่า ทิศทางของตลาดหุ้นในภาพรวมในปีนี้ คาดว่าลักษณะตลาดจะเป็นแบบทรงตัว โดยมีผลกระทบจากปัจจัยภายในประเทศ คือปัญหาทางการเมือง และปัจจัยภายนอกประเทศที่เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการที่เศรษฐกิจกประเทศสหรัฐและจีน มีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออก ซึ่งถือว่ามีส่วนเกี่ยวพันทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศด้วย

ทั้งนี้ มองว่า EPS Growth ของตลาดหุ้นไทย จะสอดคล้องกันคือติดลบประมาณ 0.5%ซึ่งมีสาเหตุมาจากหุ้นในกลุ่มพลังงานมีกำไรลดลงในปีนี้จากราคาน้ำมันที่ไม่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม จะได้หุ้นในกลุ่มธนาคารและรับเหมาก่อสร้างเป็นตัวช่วยดึงตลาด เนื่องจากในปีนี้หุ้นทั้ง 2 กลุ่ม ไม่ต้องมีการกันสำรองมากเท่าปีที่ผ่านมา จึงมองว่าตลาดโดยรวมจะทรงตัวในปีนี้ โดยหุ้นที่น่าสในใจลงทุน ได้แก่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะ BBLและ KBANK

นอกจากนี้ ยังแนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เหมืองแร่ และปิโตรเคมี ในขณะที่หุ้นเด่น ได้แก่ CCET, PDI และ ATC

****พัฒนสิน ชี้ นลท.ต่างชาติยังมองตลาดหุ้นไทยดี เชื่อครึ่งปีหลังดัชนีฯ มีโอกาสฟื้นตัว

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้บังคับบัญชา สายงานวิจัย บล.พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ CNS ได้กล่าวในงานสัมมนาประจำปี efinancethai2007 ในหัวข้อ SET คึก ซึม ทรุด หลังทำบุญประเทศ ว่า มุมมองนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะในส่วนของนักลงทุนญี่ปุ่น แต่ก็ยังมีประเด็นที่กังวลในเรื่องของมาตรการกันสำรองการลงทุน 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมถึงสถานการณ์ทางการเมือง ที่ยังมีการเปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ในครึ่งปีแรกของปีนี้ตลาดหุ้นไทยยังคงซึมตัว แต่ยังมีโอกาสกลับมาฟื้นตัวในครึ่งปีหลังได้ หากมีความชัดเจนของการเลือกตั้งครั้งใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีนักลงทุนประเภท Heged Fund กลับเข้ามาลงทุนมากขึ้น และหนุนให้ดัชนีตลาดมีการปรับตัวสูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม แนะนำนักลงทุนให้เลือกลงทุนในหุ้นที่มีปันผลสูง เฉลี่ย 5-6% โดยหุ้นที่แนะนำให้เก็งกำไรในระยะสั้น เป็นหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมี เดินเรือ และเหล็กปลายน้ำ โดยคาดว่าหุ้นใน 3 กลุ่มนี้ จะเป็นหุ้นที่ให้กำไรในระยะสั้นในช่วงไตรมาสที่ 1-2 แต่ในครึ่งปีหลังของปี จะชะลอตัวลง

ส่วนหุ้นในกลุ่มธนาคารที่แนะนำ ประกอบด้วย BBL และ KBANK ในส่วนของ SCIB เป็นอีกตัวหนึ่งที่น่าสนใจ และแนะนำให้ลงทุนในระยะยาว เนื่องจากมีโอกาสควบรวมกิจการในช่วงปลายปี ทั้งนี้ในหุ้นส่วนพลังงานแนะนำ PTTEP

นอกจากนี้ ยังมีหุ้นในส่วนโรงแรม เช่น MINT, ERAWAN และกลุ่มโรงพยาบาล เช่น BGH ซึ่งถือเป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจ และในขณะนี้ในต่างประเทศหุ้นในกลุ่มดังกล่าวยังได้รับความสนใจในระดับสูง


 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 25/04/2007 @ 23:27:54 :
**** เอเซีย พลัส แนะหุ้นปลอดภัยในการลงทุนปี 50 ต้องกลุ่มบันเทิง-ก่อสร้าง-อสังหาฯ

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวในงานสัมมนาประจำปี efinancethai2007 ในหัวข้อ SET คึก ซึม ทรุด หลังทำบุญประเทศ ว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยยังมีแนวโน้มทรงตัวจากปัจจัยกดดันในเรื่องของสถานการณ์การเมืองที่นักลงทุนยังรอดูความชัดเจนเรื่องการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ การเลือกตั้ง รวมถึงนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่

แต่ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ยังคงมีปัจจัยบวกมาสนับสนุนบ้าง จากมาตรการภาครัฐ ทั้งในส่นของการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ การผลักดันการจ้างงานในโครงการก่อสร้าง โครงการรถไฟฟ้า รวมไปถึงมาตรการกระต้นเศรษฐกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์ด้วย

อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำและได้ผลตอบแทนสูง และหุ้นที่เป็นหุ้นที่ปลอดภัยในการลงทุนในกลุ่มต่างๆ ทั้งบันเทิง, ก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ SIRI, LH, NOBLE, PF, STEC, MAJOR, CCET, ROJANA,SNC และ VNG

****4 โบรกฯ ประสานเสียง สัปดาห์นี้เล่น TTA-PSL-HMPRO-RRC-RS เจ๋งสุด

นายภูวดล ลาภภูวดลสุข ผู้อำนวยการอวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซีย พลัส กล่าวในงานสัมมนาประจำปี efinancethai2007 ในหัวข้อ 4 เซียน 4 โจ๋ เฟ้นหุ้นเด็ด ยุครัฐบาลขิงแก่ 2 ว่า กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี่แนะนำ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเดินเรือ เนื่องจากได้ประโยชน์จากค่าระวางเรือ ที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งหุ้นเด่นแนะนำในช่วงนี้ ได้แก่ PSL เพราะเป็นหุ้นที่มีผลประกอบการในไตรมาสแรกของปีอยู่ในเกณฑ์ดี และมีเงินปันผลสูง โดยให้ ราคาเหมาะสมตามพื้นฐานที่ 25.60 บาท ขณะที่สัญญาณเทคนิคให้แนวรับที่ 22.50 บาท และแนวต้านที่ 24.50 บาท

ปัจจุบันค่าระวางเรืออยู่ที่ 5782 จุด ซึ่งเดิมที่ช่วงที่สูงสุดอยู่ที่ 6208 จุด เมื่อปี 2004 ซึ่งจากค่าระวางเรือที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นรอบนี้ก็มีสตอรี่ให้เล่นในหุ้นกลุ่มเดินเรือ นายภูวดล กล่าว

นอกจากนี้ THAI ก็เป็นหุ้นที่น่าสนใจ เนื่องจากได้ประโยชน์จากการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิ รวมถึงปริมาณผู้โดยสารเพิ่มเข้ามามากขึ้นโดยเฉพาะกระแสนรักสุขภาพที่หันมาใช้บริการในไทยมากขึ้น ซึ่งทำให้ประเทศได้ประโยชน์ทางอ้อมไปด้วย โดยให้ราคาเหมาะสมตามพื้นฐานที่ 53.30 บาท
ด้านสัญญาณเทคนิคให้แนวรับไว้ 46.50 บาท และแนวต้าน 48 บาท

อย่างไรก็ตาม HMPRO และ RS ก็มีแนวโน้มที่ดีเช่นกัน โดยเห็นได้จากในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอ ยังมีการใช้จ่ายสินค้าตกแต่งบ้านอยู่ ซึ่ง HMPRO ก็ได้ประโยชน์ ขณะที่ RS ได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจ ถึงให้ผลประกอบการฟื้นตัว โดย RS ประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่ 6 บาท

ด้านนายเผดิมภพ สงเคราะห์ รองกรรมการฝ่ายค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ต้องจับตาดูมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่จะเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์หน้าจะเป็นอย่างไร ซึ่งหากมีมาตรการออกมาจะสามารถกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ได้ โดยหุ้นเด่น ได้แก่ HMPRO เนื่องจากมียอดขายดี และมีการเปิดสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) สูงถึง 20-23%

อย่างไรก็ตาม ยังคงแนะนำในส่วนของ AP, HEMRAJ, PSL และ THAI เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มี่โน้มขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องในปีนี้ ขณะที่แนะนำให้เก็งกำไรระยะสั้น D1 ให้แนวต้านที่ 1.47 บาท และให้ตัดขายทำกำไร หากราคาต่ำกว่า 1.20 บาท

ส่วนนายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊ดคินซัน กล่าวว่า แนวทางการเลือกหุ้นในช่วงนี้ ให้เลือกตัวที่มีผลประกอบการไตรมาส 1 ของปีนี้ ออกมาดี ได้รับผลบวกจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงและสามารถรับมือกับเศรษฐกิจจีนได้ รวมถึงให้เน้นเก็งกำไรในหุ้นขนาดเล็ก โดยในกลุ่มที่มีผลประกอบการในไตรมาสแรกของปีออกมาดีนั้น ให้ซื้อสะสมตัว SEAFCO เนื่องจากมีกำไรเพิ่มขึ้น 100%

นอกจากนี้ ยังมีตัวที่น่าสนใจได้แก่ LPN ที่มีกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้น 150% TPIPL ซึ่งมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ERAWAN ที่มีกำไรจากการขายตึกอัมรินทร์ และ TTA-PSL ที่มีกำไรจากค่าขนส่ง ATC ที่ได้กำไรจากราคาขาย และ RRC และ TOP กำไรจากส่วนต่าง

ขณะที่หุ้นในกลุ่มที่ได้รับผลบวกจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ได้แก่ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยแนะนำให้เลือกตัว SPALI เนื่องจากมีค่า P/E ต่ำสุด แต่มีเงินปันผลสูงสุด รวมถึงให้เน้นบริษัทที่มาแบ็กล็อกสูงอ อาทิ AP และ ERAWAN ที่มีกำไรจากการขายตึกอัมรินทร์ และ TTA-PSL ที่มีกำไรจากค่าขนส่ง ATC ที่ได้กำไรจากราคาขาย และ RRC และ TOP กำไรจากส่วนต่าง LH ที่ได้กำไรโตเด่นชัดที่สุด

ส่วนหุ้นที่น่ารับมือการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนได้ โดยให้เลือกเก็งกำไร SIAM ซึ่งได้ผลบวกจากราคาเหล็กที่ปรับตัวลดลง THECO และ SNC ซึ่งได้ผลจากราคาทองแดงลดลง รวมถึงตัว ATC, CK, EGCOMP และ GLOW

ส่วนการแนะนำหุ้นร้อนประจำสัปดาห์หน้า มีด้วยกัน 6 ตัวด้วยกัน ประกอบด้วย RS ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 5.20 บาท TTA ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 34 บาท THECO ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 1.20 บาท EMC ให้ราคาเป้า17:49 23/04/07หมายไว้ที่ 3.50 บาท รวมถึงตัว EASON ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 3.60 บาท และ ASCON ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 13 บาท

นอกจากนี้ นายรณกฤต ได้กล่าวถึงจุดลบที่ผลต่อตลาดหุ้นไทย ได้แก่ เรื่องประเทศจีนมีนโยบายชะลอความร้อนแรงเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าในปีนี้ จีนจะต้องมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 3 ครั้ง โดยที่ผ่านมาจีนชะลอเศรษฐกิจก็ทำให้ตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียมีการปรับตัวลดลง แต่หากจีนไม่มีมาตรการออกมาชะลอความร้อนแรงทีเกิดขึ้น ก็อาจจะทำให้เกิดภาวะฟองสบู่และทำให้ระบบเศรษฐกิจล้มได้

นอกจากเรื่องเศรษฐกิจจีนแล้ว สถานการณ์ทางด้านการเมืองไทยยังมีผลต่อตลาดหุ้นไทยได้ รวมถึงการที่จีนชะลอเศรษฐกิจอาจจะทำให้สินค้าปรับตัวลดลง โดยกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบคือ สินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ ค่าระวางเรือที่ทำนิวไฮด์ ก็ต้องระวังไว้ นายรณกฤต กล่าว

ด้านนายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ เปิดเผยว่า ในช่วงที่ตลาดหุ้นชะลอตัวลงจากปัจจัยหลายอย่าง โดยเฉพาะการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีน หุ้นที่แนะนำให้ลงทุนในช่วงไตรมาสที่ 2 และไตรมาส 3 คือ หุ้นในกลุ่มเดินเรือ อสังหาริมทรัพย์ เช่น TTA, LH, ERAWAN, PSL ส่วนหุ้นที่เหมาะสมรับมือในช่วงเศรษฐกิจจีนชะลอตัว เช่น SNC, ATC, CK และ SIAM



[/color:a9a82aa7ec">
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com