May 2, 2024   8:05:13 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > EVER หุ้นร้อนเดือนสงกรานต์
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 08/05/2007 @ 22:38:12
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

แม้สถานการณ์ตลาดหุ้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา จะมีการเคลื่อนไหวของดัชนีที่ปรับตัวขึ้นเป็นลำดับ ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม ดัชนียืนที่ระดับ 673.71 จุด และมาอยู่ที่ระดับ 699.16 จุด ปลายเดือนเมษายน และดูเหมือนจะแสดงให้เห็นว่าภาวะตลาดหุ้นมีแนวโน้มสดใสมากขึ้น เนื่องจากช่วงที่ผ่านมามีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุนการลงทุน อาทิ แบงก์ชาติประกาสดอัตราดอกเบี้ยอาร์พี 1 วัน 0.50% และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกมา

หากมองในเชิงลึก เรื่องดังกล่าวไม่น่าจะมีผลต่อภาวะตลาดมากนัก เนื่องจากการลงทุนส่วนใหญ่ยังกังวล อยู่กับปัญหาการเมืองเช่นเคย และเมื่อดูมูลค่าการซื้อขายในแต่ละวันที่อยู่ที่ระดับ ไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาทน่าจะเป็นตัวยืนยันได้เป็นอย่างดี ประกอบกับเดือนดังกล่าวนักลงทุนบางส่วนได้ชะลอการลงทุน เพราะเห็นว่าเป็นช่วงที่มีวันหยุดยาว

ทั้งนี้แม้การซื้อขายหุ้นทั้ง 445 ตัว จะมีหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากถึง 245 ตัว และมีหุ้นที่ปรับตัวลดลง 174 ตัว ส่วนที่เหลืออีก 26 ตัว เป็นหุ้นที่ราคาไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งหมดนี้ไม่น่าจะมีนัยสำคัญอะไร เพราะเมื่อสังเกตหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาล้วนแต่เป็นหุ้นขนาดเล็ก ที่เป็นหุ้นเก็งกำไรแทบทั้งสิ้น

โดยเฉพาะเมื่อสังเกตราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นสูงสุด 50 อันดับแรก เดือนเมษายน ในตารางประกอบ จะเห็นได้ชัดว่า หุ้นที่ขึ้นไปอยู่อันดับต้นของตารางส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่ราคาไม่ถึง 10 บาททั้งนั้น โดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นขนาดใหญ่มีเพียง 9 ตัว เท่านั้น ที่เข้ามาติดในจำนวนหุ้น 50 อันดับ คือ ATC,CP7-11,BH,TTA,PSL,CPN,ADVANC,TOP และ AMATA สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่านักลงทุนยังไม่พร้อมที่จะเข้ามาลงทุนระยะยาวอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่าในเดือนนี้ หุ้นกลุ่มเดินเรือจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากเป็นพิเศษ เพราะทั้ง TTA PSL ปรับตัวขึ้นแรงทั้งคู่ สาเหตุเนื่องมาจากดัชนีค่าระวางเรือเทกอง(Baltic Dry Index) ปรับตัวขึ้นแรง ส่งผลให้หุ้นทั้งสองได้รับผลดีตามไปด้วย

สำหรับราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงเป็นอันดับ 1 คือ EVER หรือ บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) ถือเป็นหุ้นขนาดเล็ก ที่มีข่าวการเข้ามาไล่ซื้อหุ้น ของนักลงทุนรายย่อย และรายใหญ่ อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 2.20 บาท (เม.ย.) จากเดิม1.24 บาท(มี.ค.) หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 77.42%

สาเหตุที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง เนื่องจากนักลงทุนก่อนหน้านี้ EVER ได้ประกาศจะมีการเพิ่มทุน เพื่อนำไปลงทุนทำโครงการของบริษัท แต่เนื่องจากการเพิ่มทุนครั้งนี้ผู้ถือหุ้นบางส่วนไม่อนุมัติ ซึ่งหลังจากที่มีการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 26 เม.ย.50 ที่ผ่านมา ที่ประชุมมีมติไม่อนุมัติแผนเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 300 ล้านบาท เป็น 600 ล้านบาท จึงทำให้นักลงทุนกลับเข้ามาเก็งกำไรหุ้นรายนี้



 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 08/05/2007 @ 22:38:54 :
ส่วนความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นล่าสุด ยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อ เนื่องจากนักลงทุนยังเข้ามาเก็งกำไรตามข่าวลือที่ว่าผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่ของ EVER เตรียมจะนำบริษัทไปควบรวมกับบริษัทอื่นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้แรงเก็งกำไรสูงขึ้นเป็นทวีคูณ

อันดับ 2 PT หรือ บริษัท พรีเมียร์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) โดยราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 51.16% มาที่ระดับ 5.20 บาท จากเดิมอยู่ที่ 3.44 บาท หุ้นรายนี้ถือเป็นหุ้นที่นักลงทุนชอบเข้ามาไล่ราคา จนตลาดหลักทรัพย์ต้องออกมาจับตาการซื้อขายและสั่งห้ามการห้ามซื้อขาย Net Settlement และ Margin Trading เป็นเวลา 30 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม ถึง 20 เมษายน 2550 ที่ผ่านมา และเมื่อตลท.ปลดคำสั่งดังกล่าว ทำให้นักลงทุนแห่เข้ามาเก็งกำไรหุ้นรายนี้ต่อ

อันดับ 3 EMC หรือ บริษัท อีเอ็มซี จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาที่ 3.68

บาท จากเดิมที่ 2.64 บาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 39.397% ส่วนราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงในครั้งนี้ กรณีราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาครั้งนี้ น่าจะเกิดมาจากการเก็งกำไรของนักลงทุน ตามข่าวการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการเนื่องจากกรรมการคนใหม่เป็นกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่

โดยเฉพาะล่าสุดพบว่านายชนะชัย ลีนะบรรจง ผู้ถือหุ้นใหญ่และกรรมการ EMC ได้เข้ามาซื้อหุ้นเพิ่ม ทำให้ถือหุ้นเกือบ 7% ยิ่งทำให้ราคาหุ้น EMC ปรับตัวขึ้นต่อ เนื่องจากนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรเพราะเห็นว่าการเข้ามาถือหุ้นของนายชนะชัย ในครั้งนี้ น่าจะสามารถเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพ การดำเนินธุรกิจ EMC ได้

อันดับ 4 N-PARK หรือ บริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด(มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวแรงที่ระดับ 0.24บาท หรือเพิ่มขึ้น 19.15% จากช่วงที่ผ่านมา สำหรับหุ้นรายนี้แจะปรับตัวขึ้นแรง คงไม่มีนัยสำคัญใดๆ นอกเหนือไปจากการเล่นเก็งกำไรของนักลงทุน

โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาฐานะการเงินปัจจุบัน พบว่าบริษัทยังมีภาระหนี้สิ้นค่อนข้างสูง

โดยเฉพาะหนี้สิ้นระยะสั้นที่มากถึง 4,000 ล้านบาท ในขณะที่กระแสเงินสดที่มีเพียง 200 ล้านบาท เท่านั้น ส่วนประเด็นที่ N-PRAK ออกหุ้นเพิ่มทุน 50% ของทุนเดิม ยังไม่มีความคืบหน้าว่ากลุ่มใดเข้ามาซื้อหุ้น

อันดับ 5 TBANK หรือ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาที่ 16 บาท จากเดิมที่ 12.30 บาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 30.38% สาเหตุราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง เนื่องมาจากก่อนหน้านี้ TBANKได้ตกลงขายหุ้นให้กับธนาคารแห่งโนวาสโกเทีย หรือ Scotiabank ในสัดส่วน 24.99% มูลค่ารวม 7.1 พันล้านบาท โดย Scotiabank จะเข้าซื้อหุ้น TBANK จากบริษัททุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 99.36% ในจำนวน 157,130,216 ล้านหุ้น และนอกจากนี้ TBANKจะออกหุ้นเพิ่มทุนใหม่อีก

276,263,200 หุ้นเพื่อขายให้กับ Scotiabank โดยราคาที่ซื้อเฉลี่ยอยู่ที่หุ้นละ 16.37 บาท

ดังนั้น TCAP จะทำคำเสนอซื้อ หรือเทนเดอร์ออฟเฟอร์หุ้น TBANK ในราคาเดียวกับที่ขายให้ Scotiabank ที่ 16.37 บาท จากนั้นจะถอน TBANK ออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน ทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรเรื่องนี้กันอย่างหนาแน่น

นอกจากนี้ภายใต้ข้อตกลงฉบับนี้ยังเปิดโอกาสให้ Scotiabank สามารถซื้อหุ้น TBANKในราคาเดิมเพิ่มเป็น 49% แต่เรื่องนี้ยังไม่หาความชัดเจน เนื่องจากติดปัญหาเรื่องพ.ร.บ.ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และต้องรอการอนุมัติจากธปท.

สำหรับความคืบหน้าล่าสุด TCAP เตรียมจะขออนุญาตแบงก์ชาติ ให้พันธมิตรต่างชาติสามารถเข้ามาถือหุ้นในธนาคารธนชาต จำกัด(มหาชน)หรือ TBANK ได้ในสัดส่วน 49% นั้น TCAP สามารถขออนุญาตมาได้ และแบงก์ชาติก็สามารถจะพิจารณาได้โดยไม่ต้องรอ พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงินฉบับใหม่ที่จะขยายเพดานการถือหุ้นต่างชาติได้ถึง 49%

ทั้งนี้ เนื่องจาก พ.ร.บ.ฉบับปัจจุบันต่างชาติก็สามารถถือครองหุ้นสถาบันการเงินได้49% เหมือนกัน แต่ต้องอยู่ภายใต้หลักการที่ว่าธนาคารนั้นมีฐานะที่ย่ำแย่ หรือผลการดำเนินงานไม่ดี ดังนั้น ในกรณีของ TBANK เมื่อฐานะการดำเนินงานไม่ได้ย่ำแย่ ก็อาจจะใช้เหตุผลเรื่องช่วยเสริมผลการดำเนินงานให้ดีขึ้น ในการที่จะเข้าถือหุ้นในครั้งนี้




[/color:08cc6c1fd8">
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com