May 2, 2024   8:12:22 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้นเด่น......เล่นสั้น
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 09/05/2007 @ 08:36:59
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

SET
การดีดตัวต่อเนื่องกว่าสองสัปดาห์ ผลักดันให้ดัชนีเคลื่อนเข้าสู่เขตการซื้อมากเกินไป อีกทั้งยังพบว่ายิ่งเข้าใกล้ Down Trend Line บริเวณ 720 จุด ความผันผวนยิ่งมากขึ้น โดยเมื่อวานนี้ดัชนีทำจุดสูงที่ 717 จุด ต่อ กลับปรับลดลงไปยืนที่ 712 จุด Dark Cloud Cover ที่เกิดขึ้นแสดงถึงโอกาสการปรับลงทดสอบเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน บริเวณ 703 จุด

มุมมองระยะกลาง - CCET
กลยุทธ์การลงทุน: ซื้อ
การปรับฐานจากจุดสูงสุดครั้งก่อนของ CCET เสร็จสิ้นลง ณ เส้นค่าเฉลี่ย 200 สัปดาห์บริเวณ 3.50 บาท จากนั้นราคาฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพ และขณะนี้ได้เคลื่อนตัวเข้าใกล้จุดสูงสุดเดิมบริเวณ 5.00 บาท สัญญาณต่อเนื่องที่พบในแท่งเทียนรายสัปดาห์ แสดงถึงโอกาสที่หุ้นจะฝ่าบริเวณแนวต้านนี้ไปได้ และทำจุดสูงสุดใหม่ในโครงสร้างระยะกลาง

หุ้นเด่น เล่นสั้น - EMC
กลยุทธ์การลงทุน: ซื้อ
จากกราฟรายวัน ราคามี Continuation pattern กลับตัวขึ้นอย่างชัดเจน และยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 5 และ 10 วัน นอกจากนั้น ในกราฟรายวันยังมีสัญญาณซื้อจาก RSI & Stochastic ดังนั้น ในระยะกลาง มีโอกาสที่หุ้นจะขึ้นไปทดสอบแนวต้านตาม FIBONACCI @ 161.8 บริเวณ 4.60-4.70 บาท จึงแนะนำ "ซื้อ" โดยให้แนวรับที่ 3.50-3.60 บาท สำหรับจุด Stop loss อยู่ที่ 3.40 บาท เมื่อหลุดเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน

หุ้นเด่น เล่นสั้น - NEP
กลยุทธ์การลงทุน: ซื้อ
พิจารณาจากกราฟรายวัน มี Golden Cross เกิดขึ้น พร้อมกับรูปแบบ Continuation pattern กลับตัวขึ้นอย่างชัดเจน และยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 5 และ 10 วัน นอกจากนั้น ยังมีสัญญาณซื้อจาก RSI & Stochastic ดังนั้น มีโอกาสที่หุ้นจะขึ้นไปทดสอบแนวต้านสำคัญ ณ จุดสูงสุดเดิม บริเวณ 9.00-9.10 บาท จึงแนะนำ "ซื้อ" โดยให้แนวรับที่ 8.30-8.40 บาท สำหรับจุด Stop loss อยู่ที่ 8.20 บาท เมื่อหลุดเส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน



 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 09/05/2007 @ 08:50:44 :
[b:43b2d471b2">HMPRO : กำไรไตรมาส 1/50 เติบโต 18% จากปีก่อน - ซื้อ[/b:43b2d471b2">

ตลาดหลักทรัพย์ฯ
HMPRO เปิดเผย ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/50 มีกำไรสุทธิ 139 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ความเห็นนักวิเคราะห์

กำไรไตรมาส 1/50 ดีกว่าคาด
กำไรในไตรมาส 1/50 ออกมาดีกว่าคาดถึง 12% เพราะการควบคุมค่าใช้จ่ายขายและบริหารได้ต่ำกว่าคาด โดยมีกำไรสุทธิ 139 ล้านบาท เติบโต 18% จากปีก่อน ทั้งจากการเติบโตของรายได้จาก same-store-sales (คาดราว 3%) และสาขาใหม่ ซึ่งหลายสาขาที่เปิดในช่วงครึ่งหลังปี 49 ถึงไตรมาส 1/50 เช่น สมุย ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี เพชรเกษม และชลบุรี ทำยอดขายได้ค่อนข้างดี รวมถึงรายได้จากงาน HMPRO EXPO 5 ทำให้รายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 20% จากไตรมาส 1/49 อัตรากำไรขั้นต้นทรงตัวที่ 23% แต่รายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้น 46% จากปีก่อน ทำให้ EBITDA margin เพิ่มขึ้นจาก 9.6% เป็น 10.6%

คาดผลของฤดูกาล สาขาใหม่และดอกเบี้ยที่ลดลง ช่วยผลักดันกำไรให้ดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปี
เราคาดว่ากำไรจะฟื้นตัวนับตั้งแต่ไตรมาส 2/50 ตามยอดขายสินค้าตกแต่งบ้านที่สูงขึ้นในช่วงฤดูร้อน และการรับรู้รายได้เต็มไตรมาสจากสาขาที่เปิดในไตรมาส 1/49 และสาขาใหม่ที่เปิดในต้นไตรมาส 2/50 (เลียบทางด่วนรามอินทรา) ซึ่งคาดว่าจะทำยอดขายได้ดีเช่นกัน เนื่องจากอยู่ในย่านโครงการบ้านจัดสรรใหม่ รวมถึงคาดว่า HMPRO จะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ (รัฐอยู่ระหว่างพิจารณา) ที่จะช่วยกระตุ้นยอดขายของสินค้าตกแต่งบ้าน ทำให้เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิ 764 ล้านบาท เติบโต 25% ในปี 50

คงคำแนะนำ "ซื้อ"
เราคงคำแนะนำ "ซื้อ" HMPRO ด้วยมูลค่าพื้นฐาน 5.94 บาท (PER 15 เท่า ปี 50) จากแนวโน้มที่สาขาใหม่ซึ่งเปิดในปลายปี 49 - ต้นปี 50 ทำยอดขายได้ดี และคาดว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อช่วยกระตุ้นกำลังซื้อในภาคอสังหาริมทรัพย์ในปี 50-51

Semico
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#2 วันที่: 09/05/2007 @ 08:51:58 :
[b:d4a74a18b6">PSL: กำไรปกติฯไตรมาส 1/50 เพิ่มขึ้น 13% - ขาย[/b:d4a74a18b6">

คงคำแนะนำ "ขาย"
เรายังคงคำแนะนำ "ขาย" จากราคาหุ้นที่สูงกว่ามูลค่าพื้นฐานปี 50 ที่ 23.00 บาท (5X Norm EPS) เรามองว่าราคาหุ้นปัจจุบันได้รวมเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว และมีความเสี่ยงจากจากราคาหุ้นที่มีโอกาสปรับตัวลงตามดัชนีค่าระวางฯในช่วง 6 เดือนข้างหน้า รวมทั้งความสามารถในการรักษารายได้หลังการขายกองเรือออกไป

กำไรสุทธิไตรมาส 1/50 เพิ่มขึ้น 178% รวมกำไรจากการขายเรือ 1.4 พันล้านบาท
PSL รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/50 ที่ 2.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 178% จากจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทฯมีกำไรจากการขายกองเรือจำนวน 9 ลำจำนวน 1.4 พันล้านบาท หากไม่รวมรายการดังกล่าวและกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน บริษัทฯจะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติไตรมาสนี้ 867 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากไตรมาส 1/49 แต่ต่ำกว่าไตรมาสสุดท้ายปีก่อนหน้า 15% แม้ PSL ได้รับผลบวกจากรายได้ค่าระวาง/เรือ/ลำที่สูงขึ้นถึง 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นรวมทั้งจำนวนวันเดินเรือที่ลดลงจากการขายเรือส่งผลต่อรายได้จากการเดินเรือลดลง 3%

จ่ายปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.50 บาท/หุ้น
PSL ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 1/50 ในอัตรา 0.50 บาท/หุ้น (XD 22 พค. 50) จากสภาพคล่องที่สูงเพราะการขายเรือ เราเชื่อว่าบริษัทฯไม่ได้ต้องการเปลี่ยนนโยบายการจ่ายเงินปันผลจากที่เคยจ่ายปีละ 2 ครั้งเป็นทุกไตรมาส อีกทั้งบริษัทฯยังต้องถือเงินสดไว้ตามแผนการซื้อกองเรือมาชดเชยในช่วงที่ค่าระวางปรับตัวลงครึ่งปีหลัง

ความเสี่ยงจากแนวโน้มการทำกำไรปกติที่ลดลงหลังการขายเรือออกไป
เรามองว่า PSL กำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่รายได้และกำไรในปีนี้จะต่ำกว่าที่คาดหลังจากที่ดัชนีค่าระวางเรือ BDI ไม่ลดลงตามคาดโดยทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (ล่าสุด 6,321 จุด เพิ่มขึ้น 44% จากปลายปี 49) ซึ่งส่งผลต่อราคาซื้อขายเรือเทกองมือสองเพิ่มขึ้น โดยคาดการณ์กำไรปกติฯของเราในปี 50-51 มาจากสมมติฐานว่าบริษัทฯสามารถหาระวางบรรทุกมาทดแทนมาทดแทนส่วนของกองเรือที่ขายไป


Semico

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#3 วันที่: 09/05/2007 @ 10:35:54 :
PTTCH: ไตรมาส 1/50 กำไรปกติลด 35% จากช่วงเดียวกันปีก่อน - ขาย

คงคำแนะนำ ขาย
ราคาหุ้นปัจจุบันเต็มมูลค่าเมื่อเทียบกับมูลค่าพื้นฐานที่เราประเมินไว้ ที่ 70 บาท (DCF, WACC 9.9% fully diluted) และ Spread โอเลฟินส์ในไตรมาส 2/50 ที่ผันผวนและมีแนวโน้มจะลดลงจากไตรมาสก่อนจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ลด ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าตามราคาน้ำมัน

Spread โอเลฟินส์ในไตรมาส 2/50 ไม่สดใส
ความผันผวนของราคาโอเลฟินส์ในช่วงต้นไตรมาส 2/50 ในขณะที่ราคาแนฟธาปรับเพิ่มตามราคาน้ำมันดิบ เป็นปัจจัยที่กดดันให้ Spread ในไตรมาส 2/50 ลดลง โดยราคา Spot เอทธิลีนและโพรพิลีนตลาดญี่ปุ่นเฉลี่ยตั้งแต่เม.ย. - 4 พ.ค. 50 ลด 15% และ 2% จากไตรมาสก่อนหน้า เป็น 928 และ 1,065 เหรียญ/ตัน ตามลำดับ แต่ราคาแนฟธาปรับเพิ่ม 18% เป็น 689 เหรียญ/ตัน ทำให้ Spread ของเอทธิลีนและโพรพิลีนลดลง 53% และ 23% จากไตรมาส 1/50 มาอยู่ที่ 239 และ 376 เหรียญ/ตัน ตามลำดับ

ไตรมาส 1/50 กำไรปกติลด 35% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
PTTCH มีกำไรสุทธิ 2.43 พันล้านบาท ซึ่งหากไม่รวมรายการพิเศษกำไรอัตราแลกเปลี่ยน 48 ล้านบาท มีกำไรจากการดำเนินงานสุทธิ 2.43 พันล้านบาท ลดลง 35% ช่วงเดียวกันปีก่อน และ 41% จากไตรมาสที่แล้ว เพราะปริมาณขายที่ลดลงไปจากปกติประมาณ 1 เดือน จากการหยุดซ่อมบำรุงและขยายกำลังผลิตของโรงโอเลฟินส์ และส่วนต่างราคาขายและวัตถุดิบที่ลดจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ทรงตัวในไตรมาสนี้แต่ต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น (ส่วนหนึ่งเป็นผลจากสัดส่วนการใช้แนฟธาเพิ่มจาก 25% เป็น 28%)

คงประมาณการปี 50 คาดกำไรปกติลด 9% เป็น 14.75 พันล้านบาท
ยอดขายและกำไรในไตรมาส 1/50 คิดเป็น 18% และ 16% ของประมาณการทั้งปี 50 ที่เราคาดยอดขาย 7.0 หมื่นล้านบาท (-3% จากปี 49) และกำไรจากการดำเนินงานสุทธิ 14.75 พันล้านบาท (-9% จากปี 49) จึงคงประมาณการเดิม


semico

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#4 วันที่: 09/05/2007 @ 10:43:46 :
[b:1d7ca5968b">เซียนหุ้นฟันธง?UBIS? [/b:1d7ca5968b">

โบรกพร้อมใจทำนาย?UBIS?เจ้าดลาดยางยาแนวฝากระป๋อง เทรดเหนือจอง นำโดยบล.ยูโอบี เคย์เฮียน เชื่อแม้ภาวะตลาดซึมไม่กระทบการซื้อขายแม้เป็นการเก็งกำไรระยะสั้นก็ตาม ด้านบล.ทรีนิตี้ระบุการซื้อขายวันแรกราคายังแข็งเหนือราคาจอง1.75 บาท แม้ไม่หวือหวา เผยภาวะตลาดยังเอื้ออำนวย ขณะที่ธุรกิจยังพอไปได้ คาดมีลุ้นเห็นราคาแตะ 2.00 บาทหากมีกำไรแนะ?ขาย?

นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน ประเทศไทย จำกัด(มหาชน) กล่าวถึงแนวโน้มการเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ(mai)ของหุ้นบริษัท ยูบิส(เอเชีย) จำกัด(มหาชน)หรือ UBIS ผู้ผลิตและส่งออกแล็กเกอร์เคลือบกระป๋องและยางยาแนวฝากระป๋องว่า ราคาหุ้นมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นมาเหนือราคาจองซื้อที่ระดับ 1.75 บาทได้เล็กน้อย ซึ่งแรงเก็งกำไรที่เข้ามาดังกล่าวคงเป็นการเก็งกำไรในระยะสั้นๆ เท่านั้น เนื่องจากช่วงนี้บริษัทจดทะเบียนต่างก็ทยอยแจ้งผลประกอบการงวดไตรมาส 1/2550 ออกมาดังนั้นส่งผลให้นักลงทุนหันมาซื้อลงทุนหุ้นกลุ่มน้ำมันมากขึ้น UBIS อาจจะได้รับความสนใจน้อยลง

ทั้งนี้การที่ UBIS เป็นหุ้นที่มีขนาดเล็กโดยเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไป(IPO)เพียง
จำนวน 45 ล้านหุ้น ดังนั้นโดยส่วนตัวจึงมองว่าเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องน้อย แต่เชื่อว่าหากภาวะตลาดปรับตัวอยู่ในแดนลบด้วยปัจจัยลบต่างๆ UBIS จะไม่ได้รับผลกระทบเพราะตลาดของUBISถือว่าค่อนข้างเล็ก ขณะที่ตัวธุรกิจยังขับเคลื่อนได้เรื่อยๆ
?การเทรดวันแรกของUBIS นั้นมองว่าน่าจะคึกคักในช่วง 1-2 วันแรกแต่ไม่มากนักเนื่องจากเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องค่อนข้างน้อย นักลงทุนอาจจะไม่กล้าเข้ามาซื้อเก็งกำไร แต่หากมีแรงเก็งกำไรเข้ามาจริงก็คงเป็นในลักษณะระยะสั้นๆ เท่านั้น เพราะนักลงทุนคงจะหันมาลงทุนหุ้นกลุ่มน้ำมันที่ช่วงนี้ใกล้จะประกาศผลประกอบการไตรมาส่ 1/2550?นายโกสินทร์ กล่าว
ลุ้นราคาแตะ2.00บ.

ด้านนายกมลชัย พลอินทวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บริษัทหลักทรัพย์ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า หากพิจารณาจากบทวิเคราะห์ที่บริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ประเมินราคาเป้าหมายของ UBIS ไว้ราคาต่ำสุดที่ 1.90 บาท และสูงสุดที่ 3.20 บาท ซึ่งในส่วนของบล.ทรีนิตี้เองเชื่อว่าการซื้อขายวันแรกของ UBIS ราคาจะยังเหนือราคาจองซื้อที่ 1.75 บาทแม้จะไม่หวือหวามากก็ตาม โดยมีปัจจัยภาวะตลาดยังเอื้ออำนวย ขณะที่ธุรกิจยังพอไปได้ คาดว่าน่าจะได้เห็นราคา 2.00 บาท ได้ซึ่งแนะขายหากมีกำไรในวันแรก

?การซื้อขายในวันแรกนักลงทุนอาจจะไม่ขาดทุน เพราะคาดว่าราคาไม่น่าจะหลุดราคาจองซื้อ โดยประเมินจากตัวธุรกิจที่ยังพอไปได้รวมถึงภาวะตลาดที่ยังขับเคลื่อนได้ดีแม้ดัชนีmai จะอยู่ในช่วงพักตัวก็ตาม อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในวันแรกนักลงทุนจะไม่ขาดทุนหากมีกำไรแนะนำขายได้เลย?นายกมลชัย กล่าว

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด(มหาชน) กล่าวว่าภาวะตลาดช่วงนี้ถือว่าเอื้ออำนวยต่อหุ้นน้องใหม่ที่จะเข้ามาซื้อขาย แต่สำหรับ UBIS หากพิจารณาจากP/E ประมาณ 8.33 เท่า รวมถึงตัวธุรกิจที่ผลิตยางยาแนวฝากระป๋องและแล็กเกอร์ซึ่งถือว่าเป็นธุรกิจปลายน้ำ ที่ระดับเสนอขายหุ้นจำนวนน้อยอาจจะทำให้มีสภาพคล่องที่ต่ำอาจจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนไม่มากนัก

Thunhoon

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#5 วันที่: 09/05/2007 @ 13:36:33 :
[b:99e6421d1b">CP7-11 : คาดราคาหุ้นพุ่งขึ้นจากการเก็งกำไรเรื่องห้างโลตัส - เก็งกำไร[/b:99e6421d1b">

Xinhua Finance News, 3 พ.ค. 50
Chia Tai Enterprises International Ltd -(CTEI) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (HKSE) และดำเนินธุรกิจหลัก คือ ห้างโลตัสในตอนเหนือและใต้ของประเทศจีน (CP7-11 ถือหุ้น 30% ในห้างโลตัสภาคกลาง) ได้ขอหยุดพักการซื้อขายหุ้นของตัวเองระหว่างวันที่ 26 เม.ย. - 2 พ.ค. ที่ผ่านมา เนื่องจากราคาหุ้นได้ปรับสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยได้ชี้แจงต่อ HKSE ว่าบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเรื่องการปรับโครงสร้างธุรกิจ ซึ่งอาจรวมถึงการซื้อและขายสินทรัพย์ในระดับที่มีนัยสำคัญ ซึ่งหมายรวมถึงการออกหุ้นทุน หรือปรับโครงสร้างหนี้ ทั้งนี้แม้การเจรจาดังกล่าวลุล่วงไปได้ค่อนข้างมาก แต่ยังไม่ถึงที่สุด ทำให้ปัจจุบันบริษัทไม่สามารถยืนยันความสำเร็จและเปิดเผยรายละเอียดของรายการดังกล่าวได้

ความเห็นนักวิเคราะห์

คาดเก็งกำไรการจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือการรวมกิจการห้างโลตัส
เราคาดว่าการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้น CP7-11 ในระยะ 3-4 สัปดาห์ที่ผ่านมาเกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างธุรกิจของ CTEI ก่อนหน้านี้ในช่วงต้นเดือนเม.ย.ที่ผ่านมาผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์เคยให้สัมภาษณ์ว่าอยู่ระหว่างเจรจากับกองทุนจากสหรัฐที่จะเข้ามาลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อทำศูนย์การค้าในประเทศจีน รวมถึงกำลังศึกษาความเป็นไปได้เรื่องการรวมกิจการห้างโลตัสของ CTEI กับ Shanghai Lotus Supermarket(SLSC) ที่ CP7-11 ถือหุ้นอยู่ ซึ่งเราเห็นว่าอาจเป็นไปได้ที่ CTEI จะซื้อหุ้น SLSC จาก CP7-11 และ/หรือ China Retail Fund เพื่อความคล่องตัวในการบริหาร (ในปี 48 CTEI ได้เคยซื้อหุ้นห้างโลตัสจาก CPF ไปครั้งหนึ่งแล้ว) ก่อนจะโอนขายสินทรัพย์ของห้างโลตัสให้กองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่จะจัดตั้งขึ้น หรืออาจเป็นการรวมกิจการ โดยวิธีแลกหุ้นซึ่งคาดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ SLSC จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อยในบริษัทใหม่ โดยมี CTEI เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งทั้ง 2 กรณีคาดว่าจะทำให้ CP7-11 ไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนของ SLSC ในงบการเงินอีกต่อไป

หากขายหุ้น SLSC ออก อาจทำให้มูลค่าพื้นฐานของ CP7-11 เพิ่มขึ้นได้ถึง 12 บาท
แม้ปัจจุบันราคาหุ้น CP7-11 จะปรับตัวจนเกินมูลค่าพื้นฐานแล้ว แต่ข่าวดังกล่าวถือเป็นปัจจัยบวก โดยเฉพาะหากมีการขายหุ้น SLSC หรือทำให้ CP7-11 ไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนของ SLSC ในงบการเงิน อาจทำให้มูลค่าพื้นฐานของ CP7-11 เพิ่มขึ้นได้ถึง 12 บาท เนื่องจากที่ผ่านมาธุรกิจร้านสะดวกซื้อในประเทศสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง

พรสวัสดิ์ จิระจรัส, no. 18228

[/color:99e6421d1b">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#6 วันที่: 09/05/2007 @ 13:37:18 :
[b:6bc5494b2b">CK : เซ็น MOU ศึกษาความเป็นไปได้สร้างเขื่อนในลาว - ซื้อ[/b:6bc5494b2b">
ข่าวหุ้น

CK ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อศึกษาความเป็นไปได้การก่อสร้างเขื่อนแบบฝายน้ำล้นบนแม่น้ำโขง บริเวณจังหวัดไซยะบุรี (Xayaburi Hydroelectric Power Project) ทั้งนี้ จากการศึกษาเบื้องต้นพบว่าโครงการไซยะบุรีดังกล่าวจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งได้ถึง 1,260 เมกะวัตต์ (MW) หรือประมาณ 2 เท่าของเขื่อนน้ำงึม 2 ที่บริษัท เซาท์อีสท์ เอเชีย เอนเนอร์จี จำกัด กำลังดำเนินการสร้างอยู่ ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวคาดว่าจะมีค่าก่อสร้างทั้งสิ้นประมาณ 1,700-1,800 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา โดยบริษัทฯ จะเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างหลัก สำหรับรายได้จากการขายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. คาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 300 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ในขณะที่รายจ่ายการดำเนินการและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance Costs) จะตกประมาณ 3% ของรายรับ การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการนี้คาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 30 เดือน และจะสามารถเริ่มก่อสร้างประมาณต้นปี 54 และจะก่อสร้างแล้วเสร็จและผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อขายให้กับ กฟผ. ได้ประมาณไตรมาสสุดท้ายของปี 58

ความเห็นนักวิเคราะห์

หากสำเร็จจะเพิ่ม Backlog ในปี 54 เกือบ 60 พันล้านบาท 2 เท่าตัว จากปัจจุบัน
หากโครงการนี้ประสบความสำเร็จหลังการศึกษาความเป็นไปได้ จะเป็นโอกาสในการเติบโตในระยะยาว เพราะค่าก่อสร้างมีมูลค่าสูงถึง 59-63 พันล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 2 เท่าตัวของงานในมือปัจจุบัน และคาดว่า CK จะเข้าถือหุ้นบางส่วนรูปแบบเดียวกับที่ถือหุ้นในน้ำงึม 2 ที่บริษัทย่อยกำลังก่อสร้างอยู่ในปัจจุบัน ทำให้นอกจากการได้งานก่อสร้างแล้ว CK จะได้ประโยชน์ในรูปผลตอบแทนเงินปันผลจากโครงการเมื่อเปิดดำเนินการในปี 58 อย่างไรก็ตามเรายังไม่รวมในประมาณการเพราะอยู่ในขั้นตอนการศึกษาความเป็นไปได้ ซึ่งใช้เวลาถึง 30 เดือน

แนวโน้มการดำเนินงานที่ฟื้นตัว ยังแนะนำ "ซื้อ"
จากงานในมือจำนวนเกือบ 3 หมื่นล้านบาท และมีโอกาสได้งานเพิ่มทั้งในและต่างประเทศ เราคาดว่าปี 50 CK จะฟื้นตัวทำกำไร 436 ล้านบาท (ไม่รวมกำไรจากการขายหุ้นบริษัทในเครือ) จากขาดทุนสุทธิ 1,213 ล้านบาท เพราะไม่ต้องสำรองพิเศษจำนวนมากเช่นปี พร้อมทั้งบริษัทในเครือที่มีศักยภาพช่วยเพิ่มมูลค่าในระยะยาว ยังแนะนำ "ซื้อ" ราคาตามปัจจัยพื้นฐาน 11.9 บาท (Sum of the Parts Valuation)

รุ่งรัตน์ สุนทรปกาสิต - No. 3940, rungrats@seamico.co.th



[/color:6bc5494b2b">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#7 วันที่: 09/05/2007 @ 13:38:08 :
[b:888310dffb">BEC : กำไรไตรมาส 1/50 เติบโต 24% จากปีก่อน - ขาย[/b:888310dffb">
ตลาดหลักทรัพย์ฯ

BEC เปิดเผย ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/50 มีกำไรสุทธิ 541 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 72% จากไตรมาสก่อนหน้า

ความเห็นนักวิเคราะห์

กำไรไตรมาส 1/50 ดีกว่าคาด
กำไรในไตรมาส 1/50 ออกมาดีกว่าคาดถึง 12% เพราะการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายขายและบริหารได้ต่ำกว่าคาด โดยรายได้โฆษณา 1,611 ล้านบาท เติบโต 8% จากปีก่อน จากการปรับขึ้นค่าโฆษณา และขยายเวลาออกอากาศละคร primetime ช่วงสุดสัปดาห์ ตั้งแต่เดือน ก.พ. 50 ขณะที่ต้นทุนขายและบริการลดลง 8% (หลักๆมาจากต้นทุนรายการลดลงถึง 22%) จากการลดรายการประเภทละคร ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 53% ในไตรมาส 1/49 เป็น 59% และอัตราค่าใช้จ่ายขายบริหารต่อรายได้ลดลงจาก 19% เหลือเพียง 18% ในไตรมาส 1/50 ทำให้มีกำไรสุทธิ 541 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

คงประมาณการกำไรสุทธิเติบโต 24% ในปี 50
กำไรในไตรมาส 1/50 คิดเป็น 26% ของประมาณการกำไรสุทธิ 2,075 ล้านบาท ในปี 50 (+24% จากปี 49) เราคาดว่าการเติบโตของรายได้โฆษณาในช่วงไตรมาสที่เหลือจะดีขึ้นทั้งจากผลของฤดูกาล และการปรับผังรายการอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ยังคงประมาณการ เนื่องจาก BEC อาจมีการปรับปรุงรายการค่าใช้จ่ายในช่วงปลายปีเช่นปี 49 ที่ผ่านมา

ปันผล XD 18 พ.ค. 50
BEC ประกาศจ่ายปันผล 0.40 บาท จากกำไรครึ่งหลังปี 49 คิดเป็นผลตอบแทน 1.7% จากราคาปิด ขึ้นเครื่องหมาย XD 18 พ.ค. 50

คงคำแนะนำ "ขาย"
แม้ BEC มีแนวโน้มทำรายได้เติบโตโดดเด่นกว่าสถานีอื่นๆ แต่เราคาดว่าการเติบโตจะชะลอตัวลงในปี 51 จากปัจจัยสนับสนุนการเติบโตที่ลดลง และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวที่กดดันการเติบโตของการใช้งบโฆษณา ซึ่งเราประเมินว่าราคาหุ้นที่ซื้อขาย ณ ระดับ PE 22 เท่า และ PEG ที่ 1.2 เท่า แพงไปแล้ว

พรสวัสดิ์ จิระจรัส, no. 18228 pornsawatj@seamico.co.th

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#8 วันที่: 09/05/2007 @ 13:38:44 :
[b:23b53e607a">BANPU : ขายเหมืองถ่านหิน Barasentosa [/b:23b53e607a">- ขาย

บริษัทฯ

BANPU รายงานว่าบริษัทย่อยได้แก่ PT. Indo Tambangraya Megah (ITM) และ PT.Centralink Wisesa International (CTL) ซึ่งถือหุ้นทั้งหมดใน PT. Barasentosa Lestari ขายหุ้น Barasentosa Lestari ทั้งหมดจำนวน 3.5 พันหุ้น ในราคา US$ 800,261 และมีผลขาดทุนจากการขายหุ้นราว US$ 291,000 หรือประมาณ 10 ล้านบาท โดยเหตุผลของการขายเนื่องจากแหล่งถ่านหินดังกล่าวมีคุณภาพปานกลาง และตั้งอยู่ในเกาะสุมาตรา ซึ่งไกลจากแหล่งลูกค้าในตลาดส่งออก อีกทั้งระบบคมนาคม เพื่อรองรับการขนส่งถ่านหิน ยังไม่ได้มีการพัฒนาเท่าที่ควร บริษัทฯ จึงเห็นว่าไม่คุ้มค่าต่อการพัฒนาในเชิงการพาณิชย์

ความเห็นนักวิเคราะห์

การขายเหมือง Barasentosa ไม่มีนัยต่อผลประกอบการและการดำเนินงานของ บริษัทฯ
การขายเหมือง Barasentosa ของบริษัทย่อย BANPU ถือว่าไม่มีนัยต่อผลประกอบการและการดำเนินงานของบริษัทฯ เนื่องจากมีขาดทุน 10 ล้านบาท ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับประมาณการกำไรสุทธิทั้งปีนี้ที่ 5.6 พันล้านบาท และเหมืองดังกล่าวก็ยังมิได้ดำเนินการผลิตแต่อย่างใด รวมทั้งปริมาณสำรองที่เป็น resources (ณ สิ้นปี 49) มีสัดส่วนที่ต่ำ (39 ล้านตัน) คิดเป็นสัดส่วน 3% ของยอดรวม (1,222 ล้านตัน)

...และไม่ส่งผลต่อมูลค่าเหมาะสมและราคาหุ้น BANPU แต่อย่างใด
ข่าวนี้จึงไม่มีผลต่อมูลค่าเหมาะสมและราคาหุ้น BANPU แต่อย่างใด เราเชื่อว่าการปรับขึ้นของราคาหุ้น BANPU 3.6% วานนี้มาจากการเก็งกำไรในผลการดำเนินงานไตรมาส 1/50 (ซึ่งเราคาดว่าจะมีกำไรปกติฯเพิ่มขึ้น 69% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากรับรู้ส่วนแบ่งกำไร BLCP เข้ามา) และการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ JSX ของ ITM ซึ่งจะช่วยให้เห็นมูลค่าของธุรกิจถ่านหินชัดเจนขึ้น โดยการเติบโตของผลการดำเนินงานในปีนี้เป็นไปตามที่ตลาดฯคาดการณ์ไว้แล้ว ในขณะที่มูลค่าตลาดฯของ ITM (ที่คาดว่าจะซื้อขายที่ 12-13X PER) อาจไม่ได้สะท้อนเข้าไปในมูลค่าที่เหมาะสมของ BANPU เนื่องจากต้องคิดส่วนลด 20-30% จากที่ต้องลงทุนทางอ้อมผ่าน BANPU และบริษัทฯ เองจะต้องมีการลดสัดส่วนการถือหุ้นจาก 95% เป็น 80%

ยืนยันคำแนะนำ "ขาย"
เราเชื่อว่าราคาหุ้น BANPU ปัจจุบันซึ่งซื้อขายในระดับ PER ที่ 11X ถือว่าได้สะท้อนข่าวการนำ ITM เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯไปแล้ว และเชื่อว่าราคาหุ้นจะปรับตัวลงตามการลดลงของราคาถ่านหินในช่วงครึ่งหลัง จึงยังคงคำแนะนำ "ขาย" โดยให้มูลค่าเหมาะสมปี 50 ที่ 186 บาท (8.5X Norm. PER)

ธีรภัทร เมธานุเคราะห์ - No. 17619, terapatrm@seamico.co.th


 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#9 วันที่: 09/05/2007 @ 15:42:24 :
[b:6aadfd7a57">AIT : กำไรไตรมาส 1/50 เด่น ได้อานิสงส์งานในมือ - ซื้อ[/b:6aadfd7a57">

บริษัท

ผู้บริหารเปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/50 ยังอยู่ในเกณฑ์ดี จากมูลค่างานในมือที่มีกว่า 1.3 พันล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานที่มีมูลค่างานไม่สูง แต่สามารถดำเนินการแล้วเสร็จ และรับรู้ได้ในเวลาอันสั้น ด้วยเหตุที่งานประมูลขนาดใหญ่ของ ทศท. ซึ่งเป็นลูกค้าหลัก ค่อนข้างล่าช้า บริษัทอาจพิจารณาทบทวนประมาณการรายได้ 2.7 พันล้านบาท เติบโต 20% จากปีก่อนหน้า หลังผ่านไตรมาส 2/50

ความเห็นนักวิเคราะห์

กำไรโตกว่า 6 เท่าตัว จากธุรกิจหลักเติบโต และบริษัทย่อยขาดทุนลดลง
เนื่องด้วยงานในมือมีมูลค่างานไม่สูง ระยะสั้นเวลาดำเนินการสั้น จึงคาดว่า AIT จะรับรู้รายได้ได้ค่อนข้างเร็ว โดยคาดว่า รายได้จากงานบริการวางระบบเครือข่ายในไตรมาส 1/50 จะขยายตัวถึง 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 393 ล้านบาท เมื่อรวมกับรายได้ค่าเช่าอีก 67 ล้านบาท (ไตรมาส 1/49 ยังรับรู้รายได้ค่าเช่าไม่เต็มที่) คาดรายได้รวมจะเติบโตถึง 28% เป็น 460 ล้านบาท ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับลดลงจาก 28% เหลือเพียง 23% ขณะที่ยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้ดี จึงคาดว่า AIT จะมีกำไรจากการดำเนินงาน 37 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงเพียง 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ทั้งที่ปกติไตรมาสแรกของปี จะเป็นไตรมาสที่ต่ำที่สุด

AIT เตรียมทบทวนประมาณการรายได้ปี 50
เราคาดว่า AIT ยังมีมูลค่างานในมือเหลืออยู่ราว 840 ล้านบาท เมื่อสิ้นไตรมาส 1/50 การพูดคุยกับผู้บริหารเช้านี้ ส่วนใหญ่จึงให้น้ำหนักไปกับความก้าวหน้าของงานโครงการใหม่ๆ โดยเฉพาะจาก ทศท. และ กสท. ซึ่งมีค่าใช้จ่ายลงทุนสูง แต่ที่ผ่านมา มีการลดมูลค่างาน และชะลอประมูลงานโครงการขนาดใหญ่ออกไป หากไม่มีความคืบหน้าในเรื่องเหล่านี้มาก AIT อาจต้องทบทวนเป้ารายได้ปี 50 ซึ่งทำไว้สูงถึง 2.7 พันล้านบาทใหม่ หลังทราบผลการดำเนินงานไตรมาส 2/50 ระหว่างนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าหาพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อรุกเข้าสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ อาทิ กลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มโทรคมนาคมเอกชน งานบริการดูแลเครือข่าย เพื่อกระจายความเสี่ยงเรื่องความผันผวนของฐานรายได้

ปรับลดราคาเป้าหมายลงที่ PER 7 เท่า
เรายังประมาณการรายได้ AIT เติบโตเพียง 4% ในปี 50 เป็น 2.2 พันล้านบาท และกำไรลดลง 13% เป็น 150 ล้านบาท จากแรงกดดันของอัตรากำไร ในขณะที่กำไรต่อหุ้นลดลงถึง 49% เหลือ 2.49 บาท/หุ้น จากผลของการจ่ายหุ้นปันผลในปีที่ผ่าน อย่างไรก็ดี เราปรับลด PER เป้าหมายลงเหลือ 7 เท่า เพื่อให้สะท้อนความเสี่ยงทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น หากบริษัทไม่สามารถเพิ่มมูลค่างานในมือได้ทันเวลา ได้มูลค่าพื้นฐานใหม่ 17.45 บาท ยังมีส่วนต่างจากราคาปัจจุบันอยู่ราว 18% จึงยังคงคำแนะนำ "ซื้อ"

วราภรณ์ วิบูลคณารักษ์ - No. 2482, warapornw@seamico.co.th


 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com