May 2, 2024   10:48:17 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ระวัง EMC แย่งไปแย่งมา ราคาหล่นวูบ
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 10/05/2007 @ 20:44:17
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ผู้บริหาร EMC ส่งซิก ถูกแบ็กดอร์หรือไม่ลุ้นกันวันนี้ ในการประชุมผู้ถือหุ้น หลังกลุ่มใหม่ยืนยันกุมหุ้นมากกว่า 30% และขอส่งตัวแทนบอร์ด 3 ที่นั่ง ขณะที่ "โกมล วงศ์พรเพ็ญภาพ" ไม่แน่ใจจะได้ต่อวาระเอ็มดีหรือไม่ พร้อมยืนยันไม่มีการแย่งหุ้น แม้ต้องการถือ 10% เพื่อรักษาเก้าอี้บอร์ด วงการเตือนระวังงานนี้แย่งไปแย่งมา ราคาอาจหล่นวูบซ้ำรอย ASL

การประชุมผู้ถือหุ้น บมจ.อีเอ็มซี (EMC) ในวันนี้ ถือเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายให้ความสนใจและจับตามอง เนื่องจาก EMC เป็นอีก 1 บริษัทที่ถูกผู้ถือหุ้นรวมตัวกันด้วยจำนวนหุ้นที่มากกว่า 30% พร้อมกับขอส่งตัวแทนเข้าเป็นกรรมการถึง 3 คน ในขณะที่ผู้บริหารเดิมที่ตอนนี้เป็นเพียงอดีตผู้ถือหุ้นใหญ่ ต้องแก้เกมด้วยการประกาศขอเก็บหุ้นให้ได้ 10% เพื่อรักษาเก้าอี้การบริหาร ทำให้เกิดการตีความในหมู่นักลงทุนว่างานนี้มีการแย่งหุ้นกันเกิดขึ้นแน่นอน ส่งผลให้ราคาหุ้น EMC เคลื่อนไหวอย่างค่อนข้างหวือหวาในช่วงที่ผ่านมา

ทั้งนี้ EMC เริ่มมีแรงซื้อเข้ามาหนาแน่นและราคาวิ่งแรงตั้งแต่วันที่ 27 เม.ย. ซึ่งเป็นวันที่บริษัทประกาศเลื่อนประชุมผู้ถือหุ้นอย่างกระทันหัน จากวันที่ 27 เม.ย.เป็นวันนี้ (11 พ.ค.) เนื่องจากพบว่ามีกลุ่มผู้ถือหุ้นจำนวนหนึ่งเข้ามาถือหุ้นของบริษัทฯ โดยไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน โดย ราคาหุ้น EMC ปิดการซื้อขายวันที่ 26 เม.ย. ที่ 2.86 บาท ก่อนจะวิ่งกระฉูดในวันที่ 27 จากนั้นในวันจันทร์ที่ 30 เม.ย. ราคายังวิ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดที่ 3.84 บาท หรือเพิ่มขึ้น 34.26% ใน 2 วันทำการ

ซึ่งภายหลังก็เฉลยออกมาว่าเป็นกลุ่มของนักลงทุนรายใหญ่ คนรวยตัวจริง คือ นายชนะชัย ลีนะบรรจง ที่ควงเพื่อนๆในก๊วนเข้ามาถือหุ้นใหญ่ใน EMC ไม่ว่าจะเป็น นางฉัตรสุดา เบ็ญจนิรัตน์ นายชยุตม์ ลี้อิสสระนุกูล และ นายอภินันท์ ปัญญากรโดยตัวนายชนะชัยเองถือหุ้น 6.963% รองจากธนาคารกรุงเทพซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ในสัดส่วน 15.76%

ขณะที่ ณ วันปิดสมุดทะเบียนล่าสุดของ EMC วันที่ 9 เม.ย. 2550 พบว่า นายอภินันท์ ปัญญากร เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 สัดส่วน 4.76% นายชยุตม์ ลี้อิสสระนุกูล เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 สัดส่วน 4.59% และ น.ส. ฉัตรสุดา เบ็ญจนิรัตน์ ถือหุ้น 4.30%
ส่วนกลุ่มผู้บริหารเดิมได้แก่ นายโกมล วงศ์พรเพ็ญภาพ เหลือสัดส่วนการถือหุ้น 4.22% นายสุทธิศักดิ์ โล่ห์สวัสดิ์ เหลือสัดส่วนถือหุ้น 2.52%

**แบ็กดอร์หรือไม่ลุ้นกันวันนี้
นายโกมล วงศ์พรเพ็ญภาพ กรรมการผู้จัดการ EMC เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า การประชุมผู้ถือหุ้นในวันนี้ไม่มีวาระพิเศษ โดยจะขออนุมัติในวาระที่เคยแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ไปแล้ว วาระสำคัญคือ การตั้งนายชนะชัย ลีละบรรจง เป็นกรรมการ แทนตำแหน่งที่ว่างลง พร้อมทั้งตั้ง 3 กรรมการใหม่ประกอบด้วย นาย เคนชิโระซุเกะ โอชิสิ นายไพบูลย์ ทองระอา และนายพิษณุ เกิดลาภผล ซึ่งเป็นตัวแทนจากลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ ที่ขอที่นั่งกรรมการ 3 ตำแหน่งโดยให้ข้อมูลว่ามีจำนวนหุ้นเกินกว่า 30% อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูอีกครั้งว่ากลุ่มผู้ถือหุ้นดังกล่าวมีสัดส่วนหุ้นตามที่แจ้งมาจริงหรือไม่ หากมีหุ้นน้อยกว่าที่แจ้งจำนวนกรรมการก็ต้องลดลงตามสัดส่วน
"ต้องรอดูจำนวนหุ้นพรุ่งนี้ แต่เท่าที่คุยนอกรอบผู้ถือหุ้นกลุ่มใหม่ ยืนยันว่ามีหุ้นเกิน 30%"
ส่วนประเด็นข่าวลือว่ากลุ่มของนายชนะชัยมีเป้าหมายจะเข้ามาเทคโอเวอร์ EMC เพื่อเข้าตลาดหุ้นทางอ้อมหรือแบ็กดอร์นั้น นายโกมลกล่าวว่า ในวันนี้นอกจากการแต่งตั้งกรรมการใหม่แล้ว ยังมีวาระต่ออายุการเป็นกรรมการของตนเองด้วย ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าน่าจะได้รับการต่อวาระ แต่หากผู้ถือหุ้นใหม่ไม่ต่อวาระให้อาจเรียกได้ว่าเป็นการเข้ามา เทคโอเวอร์เพื่อยึดอำนาจการบริหารอย่างเบ็ดเสร็จ
"ประเด็นการเทคโอเวอร์วันนี้ยังไม่มี แต่ต่อไปก็ไม่แน่ เพราะอาจมีใครเข้ามาก็ได้ ซึ่งในการประชุมวันนี้จะมีวาระต่ออายุกรรมการของของผมด้วย เท่าที่คุยกันก็น่าจะต่อให้ แต่ถ้าไม่ต่อวาระก็แสดงว่าเราถูกเทคโอเวอร์"นายโกมลกล่าว

**"โกมล" ยันไม่แย่งหุ้น ขณะที่วงการหวั่นซ้ำรอย ASL
นายโกมลกล่าวอีกว่า ขณะที่มีหุ้น EMC ในมือประมาณ 6-7% และมีนโยบายจะถือให้ถึง 10% เพื่อรักษาอำนาจในการบริหาร ซึ่งที่ผ่านมายังไม่มีการเจรจาซื้อจากธนาคารกรุงเทพ แต่จะเข้าไปเก็บหุ้นในกระดานช่วงที่ราคาปรับตัวลง ซึ่งประเด็นการแย่งหุ้นกันคงไม่มี เพราะโดยส่วนตัวไม่มีความคิดที่จะเข้ามาไล่หุ้นในกระดานแต่จะเป็นในลักษณะรอซื้อมากกว่า ส่วนทางด้านของนายชนะชัย ขณะนี้ยังไม่ทราบว่ามีการเจรจาซื้อหุ้นจากแบงก์กรุงเทพหรือไม่

ด้านแหล่งข่าวในวงการหลักทรัพย์รายหนึ่งให้ความเห็นว่า หุ้น EMC เป็นเกมของนักลงทุนรายใหญ่ ที่ไม่แนะนำให้รายย่อยเข้ามายุ่งเกี่ยว เนื่องจากที่ผ่านมามีการปล่อยข่าวในเรื่องของการแย่งหุ้นเพื่อชิงอำนาจการบริหาร แต่ไม่มีใครรู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร ซึ่งหากดูจากราคาหุ้นในกระดานแล้วเมื่อวิ่งขึ้นแตะ 3.68 บาท ก็จะมีการแจกของออกมาทำให้ราคาปรับตัวลดลง ซึ่งผิดวิสัยของการแย่งหุ้น และอาจเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยบล.แอ๊ดคินซัน (ASL) ที่มีข่าวการแย่งหุ้นกันระหว่างตระกูลเตชะอุบล และคิ้วคชา แต่ราคาหุ้นกลับถูกทุบลงมาต่อเนื่อง และสุดท้ายกลับกลายเป็นมวยล้มต้มคนดู เพราะมีการเจรจาจับมือระหว่างคิ้วคชาและเตชะอุบล เพื่อกุมอำนาจใน ASLต่อไป ขณะที่คนของเสี่ยสองถูกปลดออกจากกรรมการ

อย่างไรก็ตามหากมองในแง่ของธุรกิจแล้ว EMC อาจดูมีอนาคตมากกว่า ASL เพราะธุรกิจรับเหมาก่อสร้างยังมีงานเมกะโปรเจ็กรออยู่ ขณะที่นายชนะชัยซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มผุ้รับเหมาญี่ปุ่นโดยเฉพาะกลุ่มโอชิสิ ซึ่งจะสามารถต่อยอดธุรกิจได้เป็นอย่างดี ดังนั้นคงต้องดูการบริหารงานของผู้ถือหุ้นกลุ่มใหม่ว่ามีความจริงใจแค่ไหน และจะบริหารกิจการไปรอดหรือไม่ ที่สำคัญคือจะเข้ามาเพียงเพื่อหากำไรจากราคาหุ้นหรือไม่

นอกจากนี้ปัจจุบันมีนักลงทุนรายใหญ่ที่ติดหุ้นกันเป็นจำนวนมาก จากการหักหลังกันเอง โดยเฉพาะเมื่อล่อรายย่อยเข้ามาติดกับไม่ได้ก็จะกลายเป็นงูกินหางซึ่งสุดท้ายแล้วก็เป็นพวกเดียวกันเองที่ติดหุ้นในราคาสูง ซึ่งหากจบเกมแล้วก็จะไม่มีใครสนใจหุ้นตัวนั้นอีก และแม้ว่าจะเกิดความขัดแย้งกันในกลุ่มแต่เมื่อมีหุ้นตัวใหม่ที่ตกลงผลประโยชน์กันลงตัวก็จะมีการกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เรียกได้ว่าไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร

"ตอนนี้หุ้นตัวไหนที่มีรายใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้อง นักลงทุนรายย่อยไม่ควรยุ่ง เพราะมันเป็นเกมการสร้างราคา เมื่อไปไม่รอดหรือเกิดการหักหลังกันก็เกมโอเวอร์ หุ้นก็จะถูกทิ้งอย่างไม่เหลียวแล"



 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 10/05/2007 @ 20:45:17 :
**ตลท.เกาะติดประชุมผถห. EMC หลังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหุ้นใหญ่
นายสุภกิจ จิรประดิษฐกุล ผู้ช่วยผู้จัดการ ฝ่ายกำกับตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า คาดว่าทางฝ่ายกำกับบริษัทจดทะเบียนของตลท.จะส่งคนเข้าไปสังเกตการณ์ประชุมผู้ถือหุ้นของ EMC หลังจากมีการเลื่อนการประชุมผู้ถือหุ้นและเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นและผู้บริหาร
ในความเข้าใจของผมคาดว่าฝั่งบจ.น่าจะส่งคนไปสังเกตการณ์ประชุมผู้ถือหุ้น EMC หลังเกิดกรณีเลื่อนประชุมผู้ถือหุ้นและมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารนายสุภกิจ กล่าว

**BBL ยัน ขายหุ้น EMC แน่พร้อมส่งคนร่วมประชุม ผถห.วันนี้
นายเดชา ตุลานันท์ กรรมการรองผู้จัดการ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เปิดเผยว่า ธนาคารจะขายหุ้น EMC ที่ถืออยู่ประมาณ 15% แน่นอน เพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ถือหุ้นธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก (Non Core Business) ไม่เกิน 10% ส่วนจะขายเมื่อไรนั้นคงต้องรอดูจังหวะเวลาอีกครั้งหนึ่ง
ทั้งนี้ ในการประชุมผู้ถือหุ้น EMC วันนี้ ธนาคารจะส่งคนเข้าร่วมประชุมด้วย

**สนกลุ่มรับเหมาแนะเล่นหุ้นใหญ่ปลอดภัยกว่า
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์รายหนึ่งกล่าวว่า ยังไม่แนะนำลงทุนหุ้น EMC เนื่องจากธุรกิจยังไม่มีความแน่นอนหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งหากต้องการลงทุนในหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างแนะนำให้เล่นหุ้นรับเหมาขนาดใหญ่ดีกว่า เพราะยังมีสตอรี่ในเรื่องของโครงการเมกะโปรเจ็กที่มีความคืบหน้า หลังจากเจบิคตกลงที่จะให้เงินกู้ 8.4 หมื่นล้านบาทในการก่อสร้างรถไฟฟ้า 3 สาย ซึ่งในส่วนของสายสีแดงจะมีการนำเสนอเข้าครม.ในวันที่ 22 พ.ค. นี้ ก่อนจะเปิดประมูลในเดือน มิ.ย.
ทั้งนี้บล.ซีมิโก้ ออกบทวิเคราะห์ แนะนำหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดยให้น้ำหนักการลงทุน ?มากกว่าตลาด? จากแนวโน้มการกลับมาทำกำไรได้ในปี 50 หลังจากประสบปัญหาขาดทุนมหาศาลในปีก่อน ปัจจุบันผู้รับเหมารายใหญ่เหล่านี้มีงานในมือรองรับ 70-100% ของประมาณการรายได้ปี 50 จึงไม่ได้รับผลกระทบ แม้ไม่มีการเปิดประมูลรถไฟฟ้า ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขายที่บริเวณ P/BV ต่ำสุดในรอบ 5 ปี ถือว่าตอบรับข่าวร้ายที่เกิดขึ้นไปมากแล้ว หุ้น Top Pick ยังเป็น CK (มูลค่าพื้นฐาน 11.9 บาท) บริษัทมีแนวโน้มได้สัมปทานโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ในลาว ซึ่งช่วยเพิ่มงานในมือกว่า 2 เท่าตัวในระยะยาว และช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทในเครือที่ได้สัมปทาน หุ้นแนะนำรองลงมาเป็น STEC (มูลค่าพื้นฐาน 5 บาท) เพราะ STEC มีความได้เปรียบหากมีการเปิดประมูลสายสีแดงก่อนเพราะเป็นเส้นทางต่อเนื่องกับ ARL ที่ STEC ก่อสร้างอยู่และรูปแบบคาดว่าจะใกล้เคียงกัน และจากผลงานที่ผ่านมา STEC เป็น 1 ใน 2 บริษัทผู้รับเหมาใหญ่ที่มีศักยภาพในการได้งานสร้างโรงไฟฟ้า IPP ในอนาคต
บล.พัฒนสิน เห็นว่าความชัดเจนในการกู้เงินจากเจบิคเพื่อก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า 3 สายแสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าในกระบวนการเริ่มต้นก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจ็กซึ่งล่าช้ากว่ากำหนดการเดิมมากกว่า 2 ปีแล้ว โดย CNS เห็นว่าการก่อสร้างน่าจะเริ่มได้แทบจะทันที โดยอาจจะต้องรอเพียงการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและพรบ.ร่วมทุน ซึ่ง CNS เห็นว่าเป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องดำเนินการตามขั้นตอน
ดังนั้น CNS ประเมินว่าข่าวการตอบรับการปล่อยเงินกู้ของเจบิคเป็นประเด็นบวกต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้างโดยตรง ในแง่ที่บริษัทรับเหมาก่อสร้างต่างๆอาจได้รับประโยชน์จากการก่อสร้างในโครงการนี้ทั้งเป็นการ main contractor และเป็นการ sub-contractor อย่างไรก็ตามเนื่องจาก CNS คาดว่าการแข่งขันในการเข้าประมูลโครงการดังกล่าวจะอยู่ในระดับสูงเนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามีงานประมูลภาครัฐออกมาค่อนข้างน้อย ดังนั้นบริษัทรับเหมาก่อสร้างอาจไม่สามารถคาดหวังอัตรากำไรจากการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้านี้ในอัตราที่สูงมากนัก ซึ่งจะทำให้โอกาสการทำกำไรลดลงและเพิ่มความเสี่ยงที่จะขาดทุนหากเกิดภาวะ cost overrun เช่นเดียวกันที่เกิดขึ้นกับบริษัทรับเหมาก่อสร้างทุกแห่งในปี 49
CNS จึงประเมินว่าการเข้าลงทุนสำหรับนักลงทุนระยะยาว ควรรอความชัดเจนระหว่างราคาประมูลและราคากลางว่าแตกต่างกันมากน้อยขนาดไหนก่อน การเข้าลงทุนในปัจจุบันจึงอาจทำได้เพียงการเก็งกำไรตามความคาดหวังที่จะชนะการประมูลของแต่ละบริษัทเท่านั้น โดย CNS เลือก STEC (Strong BUY มูลค่าพื้นฐาน 6.00 บาท) และ SEAFCO(Buy มูลค่าพื้นฐาน 9.25 บาท) เป็น top pick ของกลุ่ม ขณะที่ CK (Neutral มูลค่าพื้นฐาน 8.10 บาท) และ ITD (Sell มูลค่าพื้นฐาน 4.50 บาท)เป็นบริษัทรับเหมา
ก่อสร้างอีก 2 แห่งที่คาดว่าอาจเกิดแรงเก็งกำไรค่อนข้างมากจากประเด็นข่าวดังกล่าว



[/color:89dea0bfec">
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com