May 2, 2024   10:00:18 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > กระซิบหน้าจอ
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 11/05/2007 @ 12:08:38
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

SET Index
วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม 2550 ปิดที่ดัชนี 707.19 จุด +0.90จุด มูลค่าการซื้อขาย 14,458 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 475.41 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 109.41 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 366.00 ล้านบาท SET Index ทำ High ที่ระดับ 710.01 จุด +3.72 จุด และ Low ที่ระดับ 705.83 จุด -0.46จุด หุ้นรับเหมาก่อสร้างมีแรงซื้อเข้ามาอย่างคึกคักเพราะมีประเด็นบวกเข้ามาเรื่องที่รัฐบาลจะเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้าซึ่งเตรียมจะนำรายละเอียดของโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ หุ้นพลังงานยังคงเป็นบวก แต่มีแรงขายมากออกมาจากกลุ่มแบงค์ถ่วงดัชนีตลาดทั้งวัน แต่ SET ยืนค่อนไปในแดนบวกได้ถึงแม้ว่าจะมีเซไปบ้างก็ตาม ซึ่งก็เป็น Technical Rebound ขึ้นตามตลาดต่างประเทศด้วยจากที่ Index เราลดลงมาจากจุด High ของรอบนี้ที่ระดับ 717.93 จุดก็เกือบ 10 จุดเลยต้องมีการดีดตัวกลับขึ้นบ้าง สัญญาณกราฟแท่งเทียนยิ่งในราย weekยังคงบ่งบอกถึงว่าหากเสร็จสิ้นการปรับฐานของรอบนี้แล้วดัชนีจะปรับตัวขึ้นต่อ
LPN
ราคาเปิด 6.05 บาท ราคาปิด 6.20 บาท มูลค่าการซื้อขาย 11.27ล้านบาท ผู้บริหาร LPN คาดการณ์ว่า กำไรสุทธิ Q1/50 จะอยู่ที่ประมาณ 234 ล้านบาท เติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 224% YoYส่วนใหญ่เป็นการรับรู้รายได้จากโครงการนราธิวาส-เจ้าพระยา แม้จะยังไม่ได้โอนและรับรู้โครงการศูนย์วัฒนธรรมส่วนที่เหลือ ขณะที่อัตราภาษีจ่ายคาดว่าจะต่ำกว่าปกติ เพราะรายได้ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เป็นรายได้ตามบัญชี ซึ่งยังไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับ LPN เป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ประสบความสำเร็จในการเจาะตลาดระดับล่าง และล่าสุดก็สำเร็จในการขายโครงการ รามอินทรา-หลักสี่ ซึ่งเป็นข้อดีที่ไม่ต้องชนกับคู่แข่งที่มาแย่งตลาด 1-2 ล้านบาท ยอดขายต้นปีถึงปัจจุบัน ก็น่าประทับใจ จากยอดขายรอรับรู้รายได้เป็นจำนวนมาก คาดว่าอัตราการเติบโตกำไรสุทธิปี 2550 จะเพิ่มขึ้นถึง 25% YoY เป็น 954 ล้านบาท รายได้ในปี2550น่าจะออกมาตามเป้าที่วางไว้ 6,300 ล้านบาท ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" โดยมีแนวรับที่ 6.05 บาท แนวต้าน 6.45 บาท

BAFS
ราคาเปิด 9.65บาท ราคาปิด 9.70 บาท มูลค่าการซื้อขาย 4.46 ล้านบาท BAFSประกาศใน Q1/50มีกำไรสุทธิ 163 ล้านบาท เติบโต 28% YoY ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณการให้บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานที่เพิ่มขึ้น 5.3% เป็น 1,146 ล้านลิตร จาก 1,089 ล้านลิตร เมื่อเทียบ YoYและการปรับอัตราค่าบริการเพิ่มขึ้นจาก 2.74 เซนต์/แกลลอน เป็น ประมาณ 5 เซนต์/แกลลอน หลังจากย้ายสนามบินมาที่สุวรรณภูมิ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นยังคงเป็นปัจจัยลบต่อรายได้และผลกำไรของ BAFS ซึ่งหากค่าเงินบาทไม่แข็งค่ามากนัก ผลกำไรน่าจะออกมาดีกว่านี้อีก จากที่ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกมีผลกำไรโดดเด่น บวกกับแนวโน้มผลกำไรที่ยังดีอย่างต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีตามปริมาณการให้บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน ส่วนแนวโน้มของผลประกอบการในQ2/50 คาดว่าน่าจะเติบโตต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากการแข่งขันของธุรกิจให้บริการเชื้อเพลิงทางอากาศไม่รุนแรง เพราะมีผู้ประกอบการน้อยราย ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ "ซื้อ" โดยมีแนวรับที่ 9.50 บาท แนวต้าน10 บาท

THAI
ราคาเปิด 45.50บาท ราคาปิด45.75 บาท มูลค่าการซื้อขาย 59.76ล้านบาท จากที่มีการสรุปรายได้ในไตรมาสที่2/50ที่มาจากการขายและบริการรวมมียอดเพิ่มขึ้น 7.6% มาจากการที่บริษัทเพิ่มเที่ยวบินและเปิดจุดบินใหม่ๆ ตั้งแต่ในช่วง ไตรมาสที่1/50 ที่ผ่านมา เพื่อรองรับการขยายตัวของผู้โดยสารทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้ปริมาณอัตราส่วนขนส่งผู้โดยสาร Cabin factor ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยในช่วง ไตรมาสที่2/50 Cabin factor อยู่ที่ระดับ 80.4% สูงขึ้นจากไตรมาสก่อนนี้ และยังสูงกว่าเมื่อเทียบกับ ไตรมาสที่2/49อีกด้วย ส่งผลให้ไตรมาสที่2/5มีรายได้จากการขายและบริการของ THAI เพิ่มขึ้นโดยมีรายรับมาจาก ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการรวมเพิ่มขึ้นนั้น เนื่องมาจากการขยายการผลิต และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการย้ายไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการเกือบทุกรายการเพิ่มขึ้นและยังมีประเด็นที่จะทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้นเพราะเนื่องมาจากราคาน้ำมันที่เริ่มมีทิศทางอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับปี 2549 ที่ผ่านมา ทำให้ต้นทุนน้ำมันเครื่องบินของบริษัทในปี 2550 ที่คาดการณ์ว่าจะลดลงจากปัจจัยดังกล่าวทำให้คาดว่าในปี 2550 บริษัทจะมีผลประกอบการปรับตัวดีกว่าปีที่แล้วอย่างแน่นนอน ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ "ซื้อ" โดยมีแนวรับ 45.25 บาท แนวต้าน 47.50 บาท

PTT
ราคาเปิด -ปิดที่ 228 บาท มูลค่าการซื้อขาย430.83 ล้านบาท คาดกำไรสุทธิ ไตรมาสที่1/50 ลดลง 12% เนื่องจากกำไรจาก FX ที่ลดลง โดยเป็นผลมาจากกำไรที่ปรับเพิ่มขึ้นมากของ กลุ่มโรงกลั่น ตามค่าการกลั่นเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น 23%ในไตรมาสที่2/50จะมีกำไรจากธุรกิจหลักก๊าซและน้ำมันที่ปรับตัวดีขึ้นจากปริมาณขายก๊าซเพิ่มขึ้น 3%และยังมีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจน้ำมันและธุรกิจโรงกลั่นยังเป็นตัวทำกำไรให้บริษัทฯ รวมทั้งธุรกิจปิโตรเคมีที่มีแนวโน้มที่ดีทั้งนี้ ปีที่ผ่านมา PTT มีรายได้รวม 1.2 ล้านล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 9.5 หมื่นล้านบาทและมีการเปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาสของปีนี้คาดว่าจะใกล้เคียงกับไตรมาส 1/49 ที่มีรายได้ 2.8 แสนล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2.3 หมื่นล้านบาท แต่จะดีกว่าไตรมาส 4/49 ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 2 ผลการดำเนินงานยังดีต่อเนื่อง เนื่องจากธุรกิจการกลั่นและปิโตรเคมียังมีมาร์จิ้นที่สูง ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ "ซื้อ" โดยมีแนวรับที่ 224 บาท แนวต้าน 236 บาท

ที่มา ทันหุ้น [/color:ef333ccb56">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com