บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ว่า ปัจจัยที่นักลงทุนจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดได้แก่ การรายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 50 ของบริษัทจดทะเบียนที่จะรายงานเป็นสัปดาห์สุดท้าย มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล ที่ส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กำลังซื้อของประชาชน และสถานการณ์การเมืองภายในประเทศ และตลาดหุ้นจะเริ่มตอบรับกับการคาดการณ์การประชุมธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในวันที่ 23 พ.ค. ที่คาดว่าจะปรับลดดอกเบี้ยลงอีก ส่วนปัจจัยต่างประเทศ การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นต่างประเทศ ราคาน้ำมันในตลาดโลก ดังนั้นดัชนีมีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบแคบ ๆ ดัชนีจะมีแนวรับที่ 685 จุด และ 698 จุด แนวต้านอยู่ที่ 710 จุด และ 718 จุด ตามลำดับ
นักวิเคราะห์จาก บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) นครหลวงไทย ประเมินแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจในประเทศว่า มีแนวโน้มชะลอตัวลงมากในช่วงครึ่งแรกของปี 50 โดยเฉพาะในด้านการบริโภค และด้านการลงทุน ความล่าช้าของการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาล ในขณะที่ภาคการส่งออกเป็นเพียงภาคเดียวเท่านั้นที่มีการขยายตัวในระดับดี การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจึงเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 4 หลังจากปัจจัยการเมืองมีความชัดเจน รวมถึงได้รับประโยชน์จากการลดอัตราดอกเบี้ย ผลกระทบด้านเศรษฐกิจจะทำให้กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน ปรับตัวลดลงในช่วงครึ่งแรกของปี ในกลุ่มของ ธนาคารพาณิชย์ วัสดุก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ รับเหมาก่อสร้าง ส่วนกลุ่มที่เติบโตได้ดีในครึ่งแรกของปี ได้แก่ พลังงาน ปิโตรเคมี เดินเรือส่งออก
ทางด้านนักวิเคราะห์จาก บล.ทรีนิตี้ เผยถึง การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ ใช้มาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ ฉบับที่ 39 (ไอเอเอส) ซึ่งไตรมาส 2 นี้ จะครบเกณฑ์ที่จะต้องใส่สำรองครบเต็ม 100% เป็นเหตุให้ธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบต้องใส่สำรองอีกในงวดนี้อีก 20,000 ล้านบาท จากที่มีการกันสำรองไว้แล้ว 40,000-50,000 ล้านบาท ซึ่งมีธนาคารพาณิชย์ 6 แห่งที่มีภาระต้อง สำรองเพิ่ม กลุ่มแรก 3 แห่ง คือธนาคารทหารไทย กรุงไทย และกรุงศรีอยุธยาเป็นกลุ่มเสี่ยงสุด เพราะมีภาระสำรองที่ยังตั้งไม่ครบมากสุด ส่วนธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย และไทยพาณิชย์มีภาระต้องเพิ่มสำรอง เพราะมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เกิดใหม่เข้ามาในงวดไตรมาส ที่ 1 และ 2
สำหรับ บล. ฟินันซ่า คาดหมายว่า พ.ร.บ. สถาบันประกันเงินฝากจะนำมาใช้ภายในสิ้นปีนี้ โดยยกเลิกการค้ำประกันเงินฝากทั้ง 100% ธนาคารจะเสียค่าธรรมเนียมจ่ายสมทบให้แตกต่างกันขึ้นอยู่กับฐานะการเงินและความแข็งแกร่ง ธนาคารขนาดใหญ่จ่ายค่าธรรมเนียมน้อยกว่า จึงเสนอดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงกว่าธนาคารอื่น เพราะต้นทุนต่ำลง ลูกค้าบางส่วนจะโยกเงินมาฝากธนาคารใหญ่ด้วยเหตุผลของความมั่นคง เป็นแรงบีบทางอ้อมให้เกิดการควบรวมกิจการของธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก.