ครม.ปล่อยผี อนุมัติก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดง รังสิต-บางซื่อ-ตลิ่งชัน มูลค่า 6.5 หมื่นลบ.แล้ว คาดขายแบบTOR ได้ต้น ก.ค. เปิดประมูลแบบอีอ๊อกชั่นได้ ภายใน ส.ค.-ก.ย. กูรูประสานเสียง 3 ยักษ์รับเหมารายใหญ่ STEC-CK-ITD ได้ประโยชน์ เหตุมีความพร้อมทั้งเทคโนโลยี เม็ดเงินและประสบการณ์ ขณะผู้รับเหมาส่งซิกรอบนี้ถ้าราคาต้นแบบสูงกว่าราคากลางไม่เล่นด้วยแน่ เหตุไม่คุ้มกับการลงทุน ส่วนเซียนเทคนิค ส่งสัญญาณเตือน STEC-ITD อัพไซด์ เหลือน้อยแล้ว ส่วน CK ยังพอมีแก๊ปทำกำไร
วานนี้ (22 พฤษภาคม 2550 ) นายไมตรี ศรีนราวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติอนุมัติโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงเรียบร้อยแล้ว มูลค่ารวม 6.5 หมื่นล้านบาท โดยในช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน จะสามารถขายแบบทีโออาร์ได้ประมาณต้นเดือน ก.ค. 2550 และจะสามารถประกาศลงนามได้ประมาณปลายปีนี้ (พ.ย.-ธ.ค.) ส่วน เส้นบางซื่อ-รังสิต คาดว่าจะสร้างแบบได้ในปลายปี และเสนอวงเงินงบประมาณเข้าครม.อีกครั้ง
ส่วนนายบัญชา คมนคร รักษาการผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมัติการก่อสร้างโครงการรถไฟชานเมือง สายสีแดง รังสิต-บางซื่อ-ตลิ่งชัน วงเงินงบประมาณรวม 6.5 หมื่นล้านบาท แยกออกเป็น 2 ช่วงคือ บางซื่อ-ตลิ่งชัน งบประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท จะใช้เงินกู้ภายในประเทศทั้งหมด โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้จัดหา และช่วงรังสิต-บางซื่อ งบประมาณ 5.2 หมื่นล้านบาท เป็นงบประมาณกู้ภายในประเทศส่วนหนึ่ง และกู้จากต่างประเทศส่วนหนึ่ง โดยจะใช้แหล่งเงินกู้คือธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น (เจบิก)
ทั้งนี้ ในรูปแบบการประมูลจะประมูลแบบอีอ๊อกชั่น และขายแบบต้นเดือน ก.ค. นี้ ส่วนการเปิดประมูลคาดว่าจะสามารถทำได้ตามกำหนดเดิม คือในเดือนส.ค. -ก.ย. 2550
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ ครม.อนุมัติก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงดังกล่าว ทางผู้ประกอบการรับเหมาหลายรายก็ได้ออกมายืนยันเจตนาจะเข้าร่วมประมูลงาน
- STEC เผยพร้อมเข้าประมูล แต่งานนี้พร้อมถอยหากพบราคาต้นแบบสูงกว่าราคากลาง
นายวรพันธ์ ช้องทอง กรรมการรองผู้ตัดการสายการเงินและบริหาร บริษัทซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน)(STEC) เปิดเผยกับ eFinanceThai.comว่า ขณะนี้บริษัทยังไม่มั่นใจว่าทางภาครัฐจะสามารถเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงได้ตามที่บอกหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาภาครัฐเลื่อนกำหนดการประมูลมาโดยตลอด
อย่างไรก็ดี หากภาครัฐเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงจริง ทางบริษัทก็พร้อมที่จะเข้าประมูล เบื้องต้นหากทางภาครัฐยังยึดหลักการเดิมคือแยกงานโยธาและงานระบบจากกัน บริษัทก็จะเข้าประมูลเดี่ยวโดยไม่ร่วมกับพันธมิตรรายใด
?เมื่อเราซื้อแบบโครงการมาคงเอามาประเมินราคาค่าก่อสร้างของโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงก่อน แต่หากราคาต้นแบบสูงกว่าราคากลางก็คงไม่หั่นราคาสู้คู่แข่งเหมือนที่ผ่านมา เพราะยอมรับว่ามันไม่คุ้ม งานนี้หากมาร์จิ้นไม่ถึง 12-15% ก็คงไม่สู้ ซึ่งเชื่อว่าผู้รับเหมาหลายรายก็มีแนวทางเป็นเช่นนี้เช่นกัน?นายวรพันธ์กล่าว
- ASCON เตรียมจับมือพันธมิตรจากเยอรมัน ร่วมประมูล
นายพัฒนพงษ์ ตนุมัธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASCON เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่าจากกรณีที่วันนี้ (22 พ.ค.50) คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดง มูลค่ารวม 6.5 หมื่นล้านบาท โดยในช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน จะสามารถขายแบบทีโออาร์ได้ประมาณต้นเดือน ก.ค. 2550 บริษัทฯ มีความพร้อมที่จะเข้าร่วมประมูลโครงการดังกล่าว เนื่องจากมีประสบการณ์และมีศักยภาพ นอกจากนี้ยังมีพันธมิตรจากประเทศเยอรมัน ที่จะเข้ามาช่วยสนับสนุนในด้านของเทคโนโลยีที่ทันสมัยอีกด้วย ซึ่งตรงจุดนี้ทำให้บริษัทฯ ได้เปรียบผู้ประกอบการรายอื่นๆ
แน่นอนทาง ASCON ก็คงจะต้องเข้ามร่วมประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ซึ่งจะจับมือพันธมิตรจากประเทศเยอรมันเข้าร่วมประมูล ตอนนี้ก็เตรียมความพร้อมแล้ว นอกจากนี้รถไฟฟ้าทุกสายที่ภาครัฐจะเปิดประมูล ASCON ก็จะเข้าประมูลทุกงาน ซึ่งจะมีพันธมิตรเข้ามาร่วมประมูลด้วย ไม่ว่าจะเป็นเยอรมัน หรือญี่ปุ่นก็ยินดีจะเข้าร่วมประมูลด้วย นายพัฒนพงษ์ กล่าว
- SAM ยิ้มรับ เชื่อหนุนยอดขายท่อ 18 นิ้วกระฉูด
นายพัชวัฎ คุณชยางกูร ประธานกรรมการ บมจ.สามชัย สตีล อินดัสทรี (SAM) กล่าวกับ eFinanceThai.com ว่า เชื่อว่าบริษัทฯจะได้รับผลดีจากการที่ ครม.อนุมัติรถไฟฟ้าสายสีแดง เพราะจะส่งผลให้ยอดขายท่อเหล็กขนาด 18 นิ้ว ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเป็นสินค้าขนาดพิเศษและคู่แข่งน้อยราย อีกทั้งยังทำให้มาร์จิ้นปรับตัวดีขึ้น เพราะมาร์จิ้นท่อเหล็ก 18 นิ้วจะอยู่ในระดับ 8-10% ขณะที่ท่อเหล็กขนาดเล็กมีมาร์จิ้นเพียง 5-8% เท่านั้น
- PYLON ระบุมีลุ้นคว้างานฐานรากโครงการรถไฟฟ้ากว่า 50%
นายบดินทร์ แสงอารยะกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) หรือ PYLON กล่าวถึงโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าของภาครัฐ ว่า หากโครงการรถไฟฟ้าเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้จริง ก็จะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการรับเหมาอย่างชัดเจน เพราะจะทำให้งานในตลาดมีมากขึ้น การแข่งขันด้านราคาที่เกิดขึ้นค่อนข้างแรงในช่วงที่ในตลาดมีงานค่อนข้างน้อย ก็จะลดลง ซึ่งจะส่งผลดีโดยตรงต่อรายได้และกำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) ซึ่ง PYLON มีความพร้อมเป็นอย่างมาก สำหรับการรองรับงานที่จะมีเข้ามาในอนาคต ทั้งด้านพันธมิตร กำลังคน เครื่องจักรและงบประมาณ
ทั้งนี้ คาดปีหน้าอาจมีรถไฟฟ้าเริ่มก่อสร้างถึง 2 สาย คือ สายสีแดง และสายสีม่วง โดยรถไฟฟ้าทั้งสองสายคาดว่าจะมีค่าแรงรับเหมาก่อสร้างฐานรากรวมกันที่ประมาณ 1,400 ลบ. อย่างไรก็ตาม หากบริษัทพันธมิตรของ PYLON ได้รับงานประมูลดังกล่าว และส่งงานรับเหมาก่อสร้างฐานรากให้กับผู้ประกอบการที่มีความเชี่ยวชาญเชื่อว่า PYLON น่าจะได้รับงานดังกล่าวไม่ต่ำกว่า 50% ของมูลค่างานทั้งเหมา เช่นเดียวกับในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ครั้งที่ผ่านๆ มา
เราจะได้รับงานฐานรากจากโครงการรถไฟฟ้ามากหรือน้อยแค่ไหนก็คงขึ้นอยู่กับว่าใครประมูลได้ด้วย แต่ถ้าดูจากประสบการณ์ที่ผ่านมาๆ ก็คงเหมือนกัน คือ เราในฐานะรายใหญ่ก็จะได้งานก่อสร้างฐานมากไม่น้อยกว่า 50% ของงานฐานรากทั้งหมด ส่วนที่เหลือก็เป็นผู้รับเหมารายอื่น และที่เราได้รับงานมากขนาดนี้ก็เพราะเราเป็นผู้รับเหมารายใหญ่ที่มีกำลังคน-เครื่องจักรเพียงพอ เรามีประสบการณ์ในโครงการขนาดใหญ่มาเป็นอย่างดี ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในตลาดค่อนข้างมาก และประการสำคัญเราพร้อมจะลงทุนเพื่อให้รองรับงานได้อย่างคล่องตัว สิ่งเหล่านี้ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เราได้รับงานในโครงการขนาดใหญ่เสมอนายบดินทร์กล่าว
เขากล่าวอีกว่า หากในปีหน้ามีการก่อสร้างรถไฟ้า 2 สาย ตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ก็เชื่อว่าจะทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้ไม่น้อยกว่า 30% จากรายได้ในปี 2550 ตามจำนวนงานที่เพิ่มมากขึ้น และการแข่งขันทางด้านราคาที่คาดว่าจะเบาบางลง โดยไม่รวมงานภาคเอกชนที่บริษัทอาจจะเข้าไปรับงานได้มากขึ้นด้วย