May 17, 2024   9:52:56 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ชนะชัย" จาก "เสือ" ผันสู่ ...................
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 15/07/2007 @ 10:34:51
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

เซียนหุ้นรายใหญ่ "ชนะชัย ลีนะบรรจง" ขอเวลาพิสูจน์ตัวเอง 1 ปี เพื่อล้างภาพลบจากภาพลักษณ์ "เซียนหุ้นเก็งกำไร" เจ้าตัวส่งสัญญาณกลับใจ หันมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ สร้างอนาคตใหญ่ ที่ "อีเอ็มซี"


-----------------------------------------

ยิ่งผมมองเห็นอนาคตของอีเอ็มซีว่าจะไปต่อยังไง ถ้าอนาคตยังมีหุ้นอีเอ็มซีมาให้ผมลงทุนอีก..ผมก็จะซื้อเพิ่มอีก

--------------------------------------------

ความพยายามที่จะ "รี-แบรนด์" ของ "เสี่ยชัยชนะ" ชื่อเรียกในวงการเซียนหุ้น หรือ "ชนะชัย ลีนะบรรจง" ประธานกรรมการบริหาร บมจ.อีเอ็มซี ภายหลังค้นพบสัจธรรม และกำลังจะพลิกบทบาทตัวเองจาก "เสือ" (เซียนหุ้น) มาเป็น "คนขี่หลังเสือ"

มันทำให้สถานภาพของ "ชนะชัย" วันนี้ ลงจากหลังเสือไม่ได้ จะกลับไปในคราบเซียนหุ้น "กระชาก-ลาก-ทุบ" ทำกำไรเข้ากระเป๋าอย่างไร้เยื่อใยเหมือนก่อน ย่อมทำไม่ได้ เพราะติดที่ "ภาพลักษณ์" ในฐานะผู้บริหารที่ต้องรักษาไว้

ชนะชัย ในวันที่ต้องมาเป็น "จ็อกกี้" นั่งบนหลังเสือ "อีเอ็มซี" เขาอธิบายภารกิจของตัวเองว่า จากนี้จะเน้นแต่วิธีสร้างการเติบโตให้แก่อีเอ็มซีเป็นหลัก และขอหยุดเข้าไปเก็งกำไรจากตลาดหุ้น

"เรื่องหุ้นตอนนี้ เต็มที่ผมก็คงจะแค่ชะแวบๆ มองเท่านั้นเอง และพักหลังมานี้ ผมเองแทบไม่ได้ตามดูราคาหุ้นเลย"

ชนะชัยบอกว่า งานหลักตอนนี้ เหมือนคนเป็น "เซลส์แมน" อาศัยคอนเนคชั่นที่สะสมมานาน ในวงการรับเหมาก่อสร้าง วิ่งหางานเข้าบริษัท และอีกภารกิจนับจากนี้ คือการดีไซน์ (หุ้น) อีเอ็มซี ให้เป็นหุ้นพื้นฐานที่ดีตัวหนึ่งของตลาด

แต่ชนะชัยก็ยอมรับกับภาพลักษณ์ของตัวเองในอดีตว่า คงจะเปลี่ยนภาพตัวเองไม่ได้ จนกระทั่ง ทุกคนจะรู้จักตนเองดีขึ้น โดยปล่อยให้กาลเวลานับจากนี้ เป็นบทพิสูจน์

ต่อข้อถามที่ว่า การเข้ามาทำงานที่อีเอ็มซี ถือเป็นการล้างมือในอ่างทองคำหรือไม่

เขาตอบว่า ท้ายที่สุด ผมก็ค้นพบสัจธรรม!! ว่า ควรหันมาเอาจริงเอาจังกับงานรับเหมาก่อสร้างดีกว่า ทำสิ่งที่เราถนัดดีกว่า เพราะเป็นงานที่รู้มาตลอดว่าเราทำได้ดีที่สุด จึงกลับมาตรงนี้ และเมื่อลงมาจับงานที่อีเอ็มซีแล้ว ก็ต้องทำให้ดี

ส่วนจะใช้ระยะเวลาสร้างภาพลักษณ์ใหม่เท่าไรนั้น ชนะชัยระบุว่า ภายในไม่ช้านี้ หรืออาจจะสัก 1 ปี ก็จะได้เห็นภาพใหม่ว่าอีเอ็มซีมีความชัดเจนขึ้น แล้วจะพิสูจน์คำพูดที่ว่า.."ผมพูดจริง และทำได้"

เขาขอเวลา 1 ปี จะได้เห็น Improvement (การปรับปรุง) ของ บ.อีเอ็มซี ว่ากำไรที่เกิดขึ้นมันเกิดจากการทำงานทางด้าน "วิชาชีพ" จริงๆ โดยไม่ต้องมีอะไรปกปิดหรือซ่อนเร้น และเมื่อเราทำได้ เราก็จะจ่ายกลับไปให้แก่ผู้ถือหุ้น

เมื่อถามว่า สัญชาตญาณของ "เสือ" ก็คงเป็น "เสือ" (ต้องกินเนื้อ) การเข้ามาของชนะชัย เพื่อรอเวลา "ถอนทุนคืน" กลับไปหรือไม่!

"เลิกห่วงเรื่องนี้ไปเลย เพราะที่อีเอ็มซี...ผมไม่ใช่เสือแล้ว แต่กลายมาเป็นคนขี่หลังเสือ เมื่อขึ้นมาบนนี้ (หลังเสือ) จะลงง่ายๆ ก็ไม่ได้ ยิ่งกับงานรับเหมาก่อสร้างถือเป็นธุรกิจที่ทำมาตลอดชีวิต ถ้าก่อนที่ผมจะวางมือเพื่อให้ลูกหลาน หรือคนอื่นเข้ามาบริหารงานต่อ มันก็ต้องทำได้อย่างสง่างาม"

เขาอธิบายต่อว่า สาเหตุที่เข้ามาถือหุ้นใหญ่อีเอ็มซี เพราะอยากจะได้บริษัทที่มีแบรนด์ที่ชัดเจน และต้องการ "รี-แบรนด์" ทั้งแบรนด์ของบริษัท และชื่อเสียงของตัวเองเสียใหม่

และสิ่งที่อยากเห็นสำหรับอีเอ็มซีนับต่อจากนี้ ก็คือ เป็นแบรนด์ของบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่เชี่ยวชาญ เป็นมืออาชีพ และเป็นอินเตอร์เนชั่นแนลของวงการ

"ยิ่งผมมองเห็นว่าอนาคตของอีเอ็มซีจะไปต่อยังไง และเลือกที่จะมาทำตรงนี้แล้ว ถ้าอนาคตยังมีหุ้น (อีเอ็มซี) มาให้ผมลงทุนอีก ผมก็จะซื้อเพิ่มอีก"

ส่วนกรณีที่กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมอย่าง "ชยุตม์ ลี้อิสสระนุกูล" ระบุว่า จะทยอยขายหุ้นอีเอ็มซีออกไปให้หมด

ชนะชัยตอบว่า ไม่รู้เหตุผล ต้องไปถามเขาเอง นั่นเป็นสิทธิส่วนบุคคลของคุณชยุตม์ แต่ผู้ถือหุ้นเดิมบางราย เขาก็อยากจะเก็บหุ้นไว้ แต่ถ้าเกิดอยากจะขายขึ้นมา ตนเองก็พร้อมที่จะรับซื้อ

ชนะชัยเล่าว่า ที่ผ่านมา ตนเองมีความใฝ่ฝันมาตลอด อยากเป็นเจ้าของบริษัทจดทะเบียนสักแห่ง วันนี้เมื่อได้เป็นแล้ว ฝันต่อไปก็คือ การ "ปั้น" บริษัทแห่งนี้ ให้สามารถขยับขึ้นไปอยู่ในแถวหน้าของประเทศให้ได้

"หากมองกันที่รายได้ ตอนนี้ลำดับของเราอยู่ประมาณ "อันดับ 8" ในกลุ่มผู้รับเหมา และเมื่อได้โอกาสเข้ามาบริหาร ก็อยากจะเห็นบริษัทแห่งนี้มีรายได้ไต่ชั้นไปให้สูงกว่านี้ แต่บอกไม่ได้ว่าต้องเป็นที่เท่าไหร่ เพราะอย่างน้อย 3 รายใหญ่ (ITD- CK-STEC) ต่างก็จับจองพื้นที่กันไว้แน่น"

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ในปี 2550 จะเริ่มเห็นผลลัพธ์จากการทำงานหนัก และปี 2551 ก็จะชัดเจนมากขึ้นอีก

ชนะชัยยังกล่าวถึงอนาคตของอีเอ็มซีหลังจากนี้ว่า นับจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2550 บริษัทมีงานในมือ (Backlog) รวมประมาณ 5,000 ล้านบาท และปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ยังได้งานก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยมาอีก 1 โครงการ มูลค่า 478.29 ล้านบาท

ล่าสุด เพิ่งได้งานคอนโดมิเนียม 31 ชั้น ชื่อโครงการ The Prime (สุขุมวิท 11) อีกมูลค่า 729 ล้านบาท โดยจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 22 เดือน คาดว่าจะสามารถส่งมอบงานได้ประมาณไตรมาส 4 ปี 2552 บวกกับโครงการที่อยู่ระหว่างรอสรุปรายละเอียดกับเจ้าของโครงการอีก 2-3 แห่ง ซึ่งมีแนวโน้มสูงที่จะคว้างานมาได้ มูลค่ารวมกันประมาณ 2,000 ล้านบาท

ดังนั้นจึงมั่นใจว่ารายได้ในปี 2550 จะสามารถเติบโตอย่าง "ก้าวกระโดด" เทียบกับปีก่อนที่มีรายได้เพียง 2,280 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 36.72 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเพียง 1.6% เท่านั้น

"กำไรเท่านี้ ถือว่าน้อยเกินไป แต่เมื่อผมเข้ามา เราก็ปรับทีมใหม่ และมีทีมงานด้านงานโครงสร้างเสริมเข้ามา เพราะฉะนั้น ณ สิ้นปี 2550 อีเอ็มซีน่าจะมีรายได้รวมไม่น้อยกว่า 4,000 ล้านบาท"

ส่วนทิศทางในอนาคต ชนะชัยมีวิสัยทัศน์ว่า ภายใน 2 ปีข้างหน้า อีเอ็มซีจะต้องก้าวไปสู่การเป็นผู้รับเหมาโครงการขนาดใหญ่ ระดับ "เทิร์นคีย์" ทั้งในและต่างประเทศ และสามารถแตกออกไปรับงานได้หลากหลายสาขามากขึ้น จากปัจจุบันที่งานส่วนใหญ่ของบริษัท ยังเป็นงานก่อสร้างคอนโดมิเนียม

--------------------------

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com