May 17, 2024   11:23:50 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้น
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 16/07/2007 @ 09:55:04
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บล.ฟาร์อีสท์แนะนำซื้อลงทุนKHราคาเป้าหมาย 9.50 บาท
ในช่วง 4Q49 ที่ผ่านมา KH ได้เปิดคลินิกส่งต่อผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอีก 2 แห่ง ทำให้ในปัจจุบัน KH มีคลินิกส่งต่อผู้ป่วยจำนวน 11 แห่ง ซึ่งการเปิดคลีนิกเพิ่ม 1 แห่งจะทำให้ KHสามารถรับผู้ป่วยจากโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้าเพิ่มขึ้น 10,000 คน โดยในปัจจุบันKH มีจำนวนผู้ป่วยที่ลงทะเบียนจากโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้าถึง 360,000 คน นอกจากนี้จำนวนผู้ป่วยจากโครงการประกันสังคมเพิ่มขึ้นทุกปีเช่นกัน โดยในปี 49 เพิ่มขึ้นถึง 31%YoY มาอยู่ที่ 453,864 คน และคาดว่าในปี 50 จะมีผู้ป่วยจากโครงการประกันสังคมหันมาใช้บริการที่ KH เพิ่มขึ้นประมาณ 5% ทั้งนี้การขยายแผนกผู้ป่วยเงินสดที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ประชาชื่นจะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยผลักดันรายได้รวมให้เติบโตขึ้นได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขณะที่จำนวนผู้ป่วยในโครงการประกันสุขภาพเพิ่มขึ้น แต่รัฐบาลยังไม่มีการปรับขึ้นค่ารักษาพยาบาลให้กับ KH จึงส่งผลให้ KH ต้องแบกรับภาระต้นทุนทีสูงขึ้น ในขณะที่รายได้ยังคงเท่าเดิม
ถึงแม้ว่าใน 1Q50 กำไรของ KH จะต่ำกว่าคาด เนื่องจากค่าใช้จ่ายค่าคลอดบุตรเพิ่มขึ้นมา แต่เราคาดว่าในช่วงที่เหลือของปีจะไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษเพิ่มขึ้นอีก อย่างไรก็ตามรายได้ และกำไรใน 2Q50 ยังคงชะลอตัวลง YoY เนื่องจากผลของฤดูกาล แต่คาดว่าจะพลิกฟื้นขึ้นใน 3Q50 เพราะกลับเข้าสู่ช่วง high season ของปี คาดว่าจะมีจำนวนผู้ป่วยเข้ามาใช้บริการมากขึ้น รวมทั้งการเปิดศูนย์รักษาใหม่ในๆในโรงพยาบาลเกษมราษฎร์บางแค และคาดว่าจะโตต่อเนื่องใน 4Q50 จากการปรับเพิ่มขึ้นค่ารักษาพยาบาลโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า นอกจากนี้แนวโน้มของ KH จะสดใสขึ้นจากการขยายโรงพยาบาลใหม่ที่พัทยา ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการในช่วงกลางปี 52 เราจึงมีการปรับประมาณการรายได้ และกำไรสุทธิของ KH ใหม่ ทำให้มูลค่าเหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานปี 50 ซึ่งประเมินด้วยวิธี DCF อยู่ที่ 9.50 บาท เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 8.60 บาท และเปลี่ยนคำแนะนำจาก "ขายทำกำไร" เป็น "ซื้อลงทุน" นอกจากนี้คาดว่า KH จะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลของ 1H50 ที่ 0.10 บาท และคาดว่าจะจ่ายเงินปันผลทั้งปีที่ 0.30 บาท หรือคิดเป็นdividend yield ที่ 3.6%

บล.บัวหลวงแนะนำถือRRCราคาเป้าหมาย 22.40 บาท
การควบรวมกิจการคาดว่าจะประกาศในเดือนสิงหาคมและกระบวนการในการรวมกิจการจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1/51 แม้ว่าการรวมกิจการกับ ATC จะให้ประโยชน์อย่างมาก แต่เรามองว่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 2 ปีกว่าที่ผลประโยชน์ดังกล่าวจะสะท้อนออกมาเป็นผลกำไร จากการที่ไม่มีการขยายกำลังการผลิตและการคาดการณ์ค่าการกลั่นที่อ่อนตัวเรามองว่าแนวโน้มกำไรในปี 2551 จะปรับลดลงจากปีนี้
เรามองว่า ATC น่าลงทุนกว่า RRC เนื่องจากมีแนวโน้มในปี 2551 ที่เป็นรูปธรรมมากกว่าโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายกำลังการผลิตและส่วนต่างราคา P-N ที่อยู่ในช่วงขาขึ้นและความเป็นไปได้ที่บริษัทใหม่ภายหลังการควบรวมกิจการจะมุ่งเน้นไปยังอุตสาหกรรมอะโรเมติกส์มากกว่าอุตสาหกรรมการกลั่น แม้ว่าเราได้ปรับราคาเป้าหมายตามวิธี DCF ซึ่งส่งผลให้ประมาณการอัตราการแลกหุ้น (swap ratio) สำหรับ RRC: ATCมาอยู่ที่ 3.41:1 จากอัตราเดิมที่ 3.54: 1 ในมุมมองของเรา ราคาหุ้น RRC ที่แข็งแกร่งในปัจจุบันถือเป็นโอกาสที่จะทำกำไรในการซื้อหุ้น ATC
เราคาดว่า RRC จะประกาศกำไรไตรมาส 2/50 ที่ 2,990 ล้านบาท (EPS: 1.04 บาท) เพิ่มขึ้น 52%จากไตรมาสก่อน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากค่าการกลั่นที่อยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 10.41 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล สูงขึ้น 3.46 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลจากในไตรมาส 1/50 แต่กำไรไตรมาส 3/50 น่าจะอ่อนตัวลงเนื่องจากค่าการกลั่นอ่อนตัวลงจากช่วงฤดูกาลที่ปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมอยู่ในระดับต่ำ

บล.เกียรตินาคินแนะนำซื้อเมื่ออ่อนตัวHMPROราคาเป้าหมาย 5.80 บาท
ใน 2Q/50 คาดว่า HMPRO จะมียอดขาย 3,840 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% Y-O-Yและ 2% Q-O-Q เป็นผลจากยอดขายสาขาใหม่ (New store sales) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 8% Y-O-Y โดย ณ 2Q/50 HMPRO มีสาขาเปิดใหม่ 7 สาขา นับจาก 2Q/49 และการรับรู้รายได้ที่เหลือจากงาน Homepro Expo ประมาณ 200 ล้านบาท ทั้งนี้ผลกระทบกำลังซื้อที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ และปัญหาสาขาพื้นที่ใกล้เคียงกันแย่งลูกค้ากันเอง (Cannibalization) ส่งผลให้ยอดขายสาขาเดิม (Same store sales มีแนวโน้มกลับมาติดลบประมาณ 5% Y-O-Y อย่างไรก็ดีคาดว่าสัดส่วนสินค้า House brandที่เพิ่มขึ้นเป็น 8% จากเดิม 5% และการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross margin) ดีขึ้นเป็น 23.1% จาก 22.9% ใน 1Q/50 ขณะที่ค่าใช้จ่าย SG&A ลดลงจาก 1Q/50 เนื่องจากใน 2Q/50 มีสาขาใหม่เปิดเพิ่มเพียง 1 สาขา และไม่มีค่าใช้จ่ายงาน Expo เราจึงคาดว่า HMPRO จะมีกำไรสุทธิ 165 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% Y-O-Y และ 19% Q-O-Q
ในครึ่งหลังปี 50 HMPRO เตรียมเปิดสาขาใหม่ในต่างจังหวัดเพิ่มอีก 1 สาขา ทำให้ในปี 50 จะมีสาขาทั้งสิ้น 30 สาขา จาก 26 สาขา ในปี 49 ประกอบกับจะเดินหน้ากระตุ้นกำลังซื้อด้วยการนำเสนอโปรโมชั่นใหม่ๆ ต่อเนื่อง รวมถึงการจัดงาน Hompro Expoในช่วง 4Q/50 เราเห็นว่ากลยุทธ์ขยายสาขาใหม่ต่อเนื่อง และการผลักดันยอดขายสาขาเดิมให้เติบโต ถือเป็น Key success ของธุรกิจนี้ จึงคงมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการปี 50 ของ HMPRO จะมีกำไรสุทธิ 680 ล้านบาท และมีกำไรต่อหุ้น 0.34 บาท/หุ้นเพิ่มขึ้น 12% Y-O-Y

บล.เอเชีย พลัสแนะนำขายINOXราคาเป้าหมาย1.30 บาท
การปรับลงอย่างรุนแรงของราคาสเตนเลสในตลาดโลก น่าจะส่งผลลบต่อ INOXในฐานะที่เป็นผู้ผลิตสเตนเลสรายเดียวของประเทศไทย โดย INOX มีระยะเวลาการเก็บสต๊อกประมาณ 70 วัน ซึ่งน่าจะเป็นการสั่งสต๊อกมาในช่วงที่ราคาสเตนเลสอยู่ในระดับสูง เปรียบเทียบกับราคาสเตนเลสในตลาดโลกที่ลดลงกว่า 12% ในระยะเวลาเพียง 1เดือน น่าจะกดดัน gross margin ในช่วง 2H50 หากนำ สต๊อกดังกล่าวมาผลิตรวมถึงอาจส่งผลต่อปริมาณการขายที่น่าจะลดลงเนื่องจากลูกค้ามีทางเลือกในการนำเข้าโดยได้รับประโยชน์จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
นอกเหนือจากความเสี่ยงเรื่องผลประกอบการที่อาจปรับตัวลงใน 2H50 INOXยังมีความเสี่ยงจากการเข้าไปลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก โดยปัจจุบัน INOX ซื้อที่ดินบริเวณถนนพระรามสี่ เนื้อที่1,930 ตารางวา ราคาตารางวา ละ 330,000 บาท เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 636.9 ล้านบาท เพื่อเตรียมสร้างเป็นอาคารสำนักงานให้เช่า ขณะที่ที่ดินบริเวณถนนนราธิวาสจำนวน 5 ไร่ 3 งาน 44 ตารางวา ที่ INOX ซื้อมาในราคา 516.7ล้านบาท ( ราคาเฉลี่ย 220,454 บาท/ตรว. ) ยังอยู่ในระหว่างการหาผู้ซื้อต่อ ทำให้INOX มีการใช้เงินกว่า 1,154 ล้านบาทในการซื้อที่ดินที่ยังไม่สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับบริษัทได้ โดยฝ่ายวิจัยคาดว่าผลประกอบการของ INOX น่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในปี2549 ขณะที่มีความเสี่ยงจากผลประโยชน์ที่ไม่ชัดเจนในโครงการสำนักงานให้เช่า

บล.โกลเบล็กแนะนำซื้อลงทุน PTTEPราคาเป้าหมาย 142.00 บาท
สำหรับภาพรวมในปี 50 เรายังคงประมาณการในส่วนของปริมาณขายตามเดิมโดยคาดจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณ 6%YoY จากการรับรู้รายได้โครงการโอมาน 44 และภูฮ่อมอย่างไรก็ตาม ผลจากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 50 และมีแนวโน้มจะสามารถทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง ต่างจากที่เรามองไว้ต้นปี ดังนั้น เราจึงปรับสมมติฐานราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น โดยประเมินราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบดูไบในปี 50-51 เพิ่มขึ้นจาก $53/bblเป็น $60/bbl ขณะที่ราคาในระยะยาวเพิ่มขึ้นเป็น $55/bbl จากเดิม $50/bbl นอกจากนั้น เราได้ปรับสมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนจาก 35.5 บาท/1 ดอลลาร์ เป็น 34.5 บาท/1ดอลลาร์ ซึ่งจากการปรับประมาณการดังกล่าว เราประเมินผลประกอบการในปี 50ใหม่ได้ ที่ 27,449 ลบ.ลดลงเล็กน้อย 2%YoY แม้ผลประกอบการปี 50 จะไม่โดดเด่นแต่อย่างไรก็ตามคาดแนวโน้มผลประกอบการจะกลับมาขยายตัวโดดเด่นอีกครั้งในปี 51 จากการรับรู้รายได้โครงการอาทิตย์และโครงการเวียดนาม 9-2 บางส่วน ซึ่งคาดจะทำให้ปริมาณขายรวมเพิ่มขึ้นประมาณ 33% จากปี50 ซึ่งจากเหตุผลดังกล่าว เราประเมินกำไรสุทธิในปี 51 จะพุ่งขึ้นเป็น 34,160 ลบ.คิดเป็นอัตราการเติบโต 24.5%YoY
โดยทาง PTT คาดความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติจะขยายตัวเฉลี่ยประมาณ 11%ต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยได้แรงหนุนจากท่อเส้นที่3 ซึ่งคาดจะเริ่มใช้ได้ในช่วงปี 50ขณะที่หากประเมินจากโครงการที่มีอยู่ในมือของ PTTEP คาดปริมาณขายจะขยายตัวเฉลี่ย 8%-9% ในช่วงปี 2550-2553 โดยยังไม่รวมแหล่ง เวียดนาม 16-1 และแอลจีเรีย ที่คาดจะเริ่มได้ภายในปี 51-52 นอกจากนั้น ในระยาวยังมีอีกหลายโครงการทั้งในและต่างประเทศซึ่งเชื่อว่าเป็นแหล่งปิโตรเลียมที่มีศักยภาพที่รอการสำรวจ เช่น แหล่งในพม่า เวียดนาม โอมานรวมถึงแอลจีเรีย ดังนั้น เรามองว่าบริษัทยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมากจากปัจจุบัน

ที่มา ข่าวหุ้น[/color:91cd95548f">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com